เปิดตัวเลข 'PM2.5' ก่อความเสียหาย ไทยลำดับ 20 โลก
ฝุ่นPM2.5 ไทยความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ ลำดับที่ 2 ในอาเซียน นักเศรษฐศาสตร์ เผยมูลค่าต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท กทม.กว่า 4 แสนล้าน ขณะที่ ส.อ.ท. นำเสนอ ‘หอฟอกอากาศ’ นวัตกรรมช่วยกรองฝุ่นให้คนกรุง ด้าน อบต.ยันท้องถิ่นแก้ปัญหาได้ ถ้าได้รับงบประมาณ-อำนาจ
KEY
POINTS
- ฝุ่นPM2.5 ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ ไทยติดอันดับที่ 20 มีมูลค่าถึง 45,334 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.89% ของ GDP สูงเป็นลำดับที่ 2 ในอาเซียน
- ฝุ่นPM2.5 นักเศรษฐศาสตร์ เผยมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ ต่อครัวเรือนไทย อยู่ที่ 2.173 ล้านล้านบาท กทม.อันดับ 1 เสียหายกว่า 4 แสนล้านต่อปี
- จัดการ ฝุ่นPM2.5 สภาอุตฯ นำเสนอ ‘หอฟอกอากาศ’ นวัตกรรมช่วยกรองฝุ่นให้คนกรุง ด้าน อบต.ยันท้องถิ่นแก้ปัญหาได้ ถ้าได้รับงบประมาณ-อำนาจ
ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายยุทธศาสตร์ จัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ภายใต้ประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ภายในงานมีการจัดเวทีเสวนาเรื่อง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการจัดการอากาศสะอาด” เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นจากภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคท้องถิ่น ตลอดจนนำเสนอสถานการณ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจแนวใหม่ เพื่อการจัดการอากาศสะอาด
ฝุ่นPM2.5 มูลค่าความเสียหาย
รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นำมาซึ่งต้นทุนทางสังคม (social cost) หรือผลกระทบเชิงลบต่างๆ อาทิ การที่ทางธนาคารโลก (World Bank) ได้ทำการประเมินความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ จาก 180 ประเทศทั่วโลก พบว่า
- ประเทศไทยติดอันดับที่ 20 มีมูลค่าความเสียหายมากถึง 45,334 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยคิดเป็น 3.89% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 2 ในอาเซียน รองจากประเทศอินโดนีเซีย
- จากการทำงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหามลพิษทางอากาศ คือปริมาณ ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในรอบ 1 ปี มีปริมาณสูงเกินกว่าค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ยาวนานถึง 6 – 7 เดือน มิใช่เพียงแค่ 2 – 3 เดือน อย่างที่เคยเข้าใจ
“ข้อมูลจากการวิจัยที่ศึกษาพบว่ามูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จาก ฝุ่น PM 2.5 ต่อครัวเรือนไทย ในปี 2562 อยู่ที่ 2.173 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเจาะลงมาดูรายจังหวัด ก็จะพบว่า กทม. คือพื้นที่อันดับ 1 เกิดความเสียหายกว่า 4 แสนล้านต่อปี เพราะ กทม. มีครัวเรือนโดยประมาณ 3 ล้านครัวเรือน จำนวนครัวเรือนในภาคเหนือรวมกัน 9 จังหวัด ยังไม่เท่า กทม. ส่วนอันดับที่รองลงมา คือชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่ และขอนแก่น ตามลำดับ” รศ.ดร.วิษณุ กล่าว
ตลาดให้เช่าบริการเครื่องจักรกลสมัยใหม่
ต้นทุนทางสังคมที่สูญเสียไปจากปัญหามลพิษทางอากาศ หรือ ฝุ่นPM2.5 ยังมีมิติอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งส่วนหนึ่งของปัญหาฝุ่น PM2.5 เกิดจากระบบการผลิตในภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร ที่มีการเผาไหม้จนก่อให้เกิดเป็นมลพิษ จึงขอเสนอแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio-Circular-Green Economy: BCG) เพื่อการจัดการอากาศสะอาด อาทิ การนำศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง มาปรับใช้
รวมถึง การส่งเสริมการทำคาร์บอนเครดิตให้กับภาคประชาชน การส่งเสริมการทำเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยลดการเผาวัสดุเหลือใช้ แล้วนำไปสร้างประโยชน์ต่อให้เกิดรายได้ การส่งเสริมให้เกิด ตลาดให้เช่าบริการเครื่องจักรกลสมัยใหม่ให้เกษตรกรทั่วไป สามารถเข้าถึงในราคาที่จับต้องได้ เพื่อลดการเผา ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สินครัวเรือนลดลง ฯลฯ
หอฟอกอากาศแบบไฮบริด จัดการ PM2.5
นายปณิธาน ปวโรฬารวิทยา รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า มีนวัตกรรมชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจในการที่จะนำมาแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้กับคนเมือง คือ หอฟอกอากาศระดับเมืองอัตโนมัติแบบไฮบริด หรือ “ฟ้าใส (Fahsai)” มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศได้มากถึง 6 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งสนามฟุตบอล
โดยสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งในน้ำและในอากาศ ทั้งยังมีความสะดวกในการติดตั้ง วางได้ทุกสถานที่ มีระบบล้อเคลื่อนได้ในระยะใกล้ๆ ราคาของเครื่องอยู่ที่ 3 – 5 ล้านบาท ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพง เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนทางสังคม ที่คน กทม.ต้องเสียไป ตามที่ระบุในงานวิจัย
“หากมีการนำหอฟอกอากาศฯ ฟ้าใส มาใช้ในพื้นที่ กทม.สัก 1 หมื่นเครื่อง ก็จะทำให้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่เปรียบเสมือนถังรับมลภาวะ อย่าง กทม.”นายปณิธานกล่าว
ชุมชนแก้ ฝุ่นPM2.5ได้ แค่ให้อำนาจ-งบฯ
นายนิกร เต๋จ๊ะแยง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทาเหนือ (อบต.แม่ทาเหนือ) อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า หากมีงบประมาณ พร้อมอำนาจในการจัดการ ท้องถิ่นก็จะสามารถแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่าได้ด้วยตนเอง เพราะการมีงบประมาณทำให้ชุมชนมีทรัพยากรเพียงพอในการตรวจตราและเฝ้าระวังการเกิดเหตุได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือควรให้เงิน ให้อำนาจในการจัดการ แก่ อปท. ไม่ใช่การให้งานมาทำ แต่ไม่มีเครื่องมืออะไรสนับสนุน
กรณีชุมชนแม่ทาเหนือ อบต.ได้มีการนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มากำหนดขอบเขตพื้นที่ให้แน่ชัดระหว่างพื้นที่ป่ากับพื้นที่ทำกินของเกษตรกรในชุมชน จากนั้นจึงดำเนินการสร้างข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่มีการบุกรุก ถางป่าเพื่อสร้างพื้นที่ทำกิน โดย อบต.แม่ทาเหนือ จะทำหนังสือรับรองสิทธิชุมชนว่าด้วยการจัดการที่ดิน (ที่ทำกินเดิม) ให้กับเกษตรกรแบบรายแปลง และมีการจัดตั้งกองทุนที่ดินขึ้น เพื่อทำให้เกษตรกรสามารถนำเอกสารการรับรองดังกล่าว มาเป็นหลักทรัพย์การค้ำประกันในการขอกู้สินเชื่อ
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการสร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้กับประชาชน ผ่านวิสาหกิจชุมชนต่างๆ ที่มีการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำวัสดุเหลือทิ้งจากในป่ามาก่อให้เกิดประโยชน์ เช่น วิสาหกิจชุมชนใบไม้มีคุณค่าจากกลุ่มสตรีฮักทาเหนือ และทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในการป้องกันไฟป่า โดยได้เข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดูแลป่า ไร่ละ 300 บาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 5 หมู่บ้าน โดยในปี 2567 ได้รับงบประมาณสนับสนุนอยู่ที่ 3 – 7 ล้านบาท ส่งผลให้ใน อบต.แม่ทาเหนือ มีจำนวนจุดความร้อนที่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับ 2566