องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก เสนอให้ยุติการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มอุตสาหกรรม
ถึงเวลาต้องมีนโยบายห้ามใช้"ยาปฏิชีวนะ" ป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรม เพื่อคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ เพราะนอกจากปัญหา"เชื้อดื้อยา" ยังมีปัญหามลพิษด้วย
จากการทำงานขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย พบว่ากว่า 5 ปีที่ผ่านมา ตรวจพบเชื้อดื้อยาจำนวน 19 ชนิด ในเนื้อสัตว์และแหล่งน้ำรอบฟาร์มอุตสาหกรรมใน 9 ประเทศ 4 ทวีป รวมทั้งประเทศไทย
วิกฤติเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ หรือซุปเปอร์บั๊กส์ (Superbugs) นี้ได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ต่างจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 โดยเฉพาะประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 38,000 คน หรือทุกๆ 15 นาที
เชื้อดื้อยาในฟาร์มสัตว์
ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องมีนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในฟาร์มสัตว์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มที่คำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อยุติภัยจากวิกฤติเชื้อดื้อยานี้ รวมทั้งสิทธิของผู้บริโภคที่สามารถรู้แหล่งที่มาของอาหารว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่ และการผลิตอาหารนั้นเกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
รายงานวิจัยล่าสุด ระบุมีผู้เสียชีวิตจากซุปเปอร์บั๊กส์ทั่วโลกปีละกว่า 1.27 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อซุปเปอร์บั๊กส์ทั่วโลกสูงถึงปีละ 10 ล้านคนในปี พ.ศ. 2593 คน
ถึงแม้ว่าองค์การอนามัยโลกได้เสนอแนะว่ายาปฏิชีวนะไม่ควรถูกใช้เพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในฟาร์มสัตว์ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอย่างโหดร้ายทำให้ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้มากถึง 75% ทั่วโลก
ในประเทศไทยผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่หยุดแค่เพียงสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรม แต่ยังกระทบต่อชาวบ้านที่อาศัยใกล้แหล่งฟาร์มอุตสาหกรรมนี้ด้วย
เกษตรกรรายหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวถึงผลกระทบว่า “ข้าวในไร่ไม่ค่อยได้ผลผลิต เพราะในน้ำมีพวกสารเคมีหรือขี้หมูเยอะ เมื่อปล่อยน้ำที่มีสารปนเปื้อนลงมาในนา ข้าวได้รับความเสียหายหรือไม่ก็ตาย เพราะมีสารพิษในระบบนิเวศ ปลาก็แทบอยู่ไม่ได้เพราะน้ำมีค่าความเค็มสูง เคยร้องเรียนไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
นโยบายห้ามใช้ยาปฎิชีวนะในฟาร์มสัตว์
สหภาพยุโรปได้มีการประกาศให้การใช้การยาปฎิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย โดยเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญและประเทศอื่นควรเอาแบบอย่าง
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐมีนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในฟาร์มสัตว์ ตลอดจนให้ฟาร์มในระบบอุตสาหกรรมได้พัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ตามมาตรฐานขั้นต่ำของการเลี้ยงสัตว์ฟาร์ม (FARMS) ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
สำหรับแนวทางแก้ไขวิกฤตเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะในภาคปศุสัตว์ของประเทศไทย โชคดี สมิทธิ์กิตติผล ผู้จัดการแคมเปญสัตว์ฟาร์ม องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก กล่าวว่า
“แม้ในประเทศไทยจะมีการจัดตั้งแผนยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในภาคปศุสัตว์ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมกลับยังไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร
เราเชื่อว่าการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะการใช้เพื่อรักษาสัตว์ที่ป่วยแบบรายตัว แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือ การห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่ม ซึ่งมีต้นตอจากสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มที่ย่ำแย่”
ในขณะที่ ผศ.ภญ.ดร. นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวถึง ปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นในคนและสัตว์ ว่า “ที่ผ่านมาในคนมีการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคหรืออาการที่ไม่จำเป็น เช่น หวัดจากไวรัส และมีการใช้ยาปฏิชีวนะในภาคปศุสัตว์ ประมง รวมถึงการเกษตร
"คำถามที่สำคัญคือทำไมคนไทย รวมถึงเกษตรกรถึงสามารถเข้าถึงและสามารถซื้อยาปฏิชีวนะได้อย่างง่ายดาย ยาปฏิชีวนะได้ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันโรค ดังนั้นระบบในการติดตามเส้นทางของยาปฏิชีวนะจึงมีความสำคัญ ตั้งแต่ต้นน้ำ การนำเข้า การกระจาย การใช้ การปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคควคมีสิทธิที่จะรู้ถึงที่มาของอาหารว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่”
ทั้งนี้ในช่วง“สัปดาห์รู้รักษ์ตระหนักใช้ยาต้านจุลชีพ" วันที่ 18-24 พย. 2565 องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย ถือโอกาสเชิญชวนลงชื่อเพื่อร่วมผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนมีนโยบายห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคแบบรวมกลุ่มในฟาร์มสัตว์ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์ฟาร์มที่คำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์
เพื่อยุติภัยจากวิกฤติเชื้อดื้อยาได้ที่ https://www.worldanimalprotection.or.th/AMR-Environmental-Impact