การประชุมผู้ถือหุ้นของ Warren Buffet | ศุภวุฒิ สายเชื้อ

การประชุมผู้ถือหุ้นของ Warren Buffet | ศุภวุฒิ สายเชื้อ

เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา กองทุน Berkshire Hathaway ซึ่ง Warren Buffet เป็นผู้ก่อตั้ง ได้จัดการประชุมประจำปี 2024 โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่มีคู่หู คือ Charlie Munger นั่งอยู่เคียงข้าง เพราะเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนอายุจะครบ 100 ปีไม่ถึง 2 สัปดาห์

 Warren Buffet ก็ได้กล่าวสดุดี Charlie Munger อีกครั้งว่า เป็นผู้ที่เป็นสถาปนิก “ออกแบบก่อสร้าง” กองทุน Berkshire Hathaway ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จอย่างมากมายจนทุกวันนี้ โดยไม่เคยต้องการ “แสง” แต่ให้ Warren Buffet เป็นผู้ที่ได้รับคำชมเชย

ทั้งๆ ที่ Buffet นั้น บอกว่าตัวเองเป็นเพียง “ผู้คุมการก่อสร้าง” แต่ Charlie Munger นั้นคือผู้ที่ “ออกแบบ” ความสำเร็จของ Berkshire Hathaway โดยโน้มน้าวให้ Buffet เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนในปี 1965 จากเดิม

คือซื้อบริษัทที่มีศักยภาพปานกลางหรือต่ำที่ราคาถูกมาก (buying fair businesses at wonderful prices) มาเป็นการซื้อบริษัทที่มีอนาคตสดใสมาก ในที่ราคาเป็นธรรม (buy wonderful businesses at fair prices) ซึ่งนโยบายที่ทำให้วันนี้ กองทุน Berkshire Hathaway มีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และทำกำไร 96,220 ล้านดอลลาร์ในปี 2023

สำหรับสาระสำคัญของการประชุมผู้ถือหุ้นในปีนี้นั้น มีรายงานข่าวสรุปมากมายแล้ว ผมจึงไม่ขอนำมากล่าวซ้ำอีก แต่ก็มีข้อสังเกตว่าการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของกองทุน Berkshire Hathaway นั้นเป็นกิจกรรมที่นักลงทุนทั่วไปให้ความสำคัญอย่างมาก

รุ่นน้องของผมที่กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรพูดว่า ในชีวิตของการเป็นนักลงทุนนั้น ควรจะต้องได้มาร่วมงานนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต (เหมือนกับการไปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของโลกของการลงทุน)

ทราบมาว่า CEO ของบริษัท Apple คือ ทิม คุก ก็ไปร่วมงานปีด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามีโอกาสที่จะได้พบเห็น Warren Buffet นั้นน่าจะมีอีกไม่นานแล้ว อันนี้ผมไม่ได้ “แช่ง” Warren Buffet นะครับ แต่เพราะ Buffet เองก็ได้กล่าวตอนท้ายของงานประจำปีครั้งนี้ว่า “I not only hope you come next year. I hope I come next year” (แต่พูดแบบติดตลก)

ทั้งนี้เพราะในระหว่างงานดังกล่าว Buffet กล่าวว่า “I know something about Actuarial Tables” ซึ่ง Actuarial Tables คือข้อมูลประเมินตารางมรณะใช้สำหรับการคำนวณผลประโยชน์ด้านการประกันชีวิต ซึ่งที่สหรัฐนั้นจัดทำโดยสำนักงานประกันสังคม ซึ่งผมขอนำเอาบางส่วนมาเสนอดังปรากฏในตาราง

การประชุมผู้ถือหุ้นของ Warren Buffet | ศุภวุฒิ สายเชื้อ

Warren Buffet ปัจจุบันอายุเกือบ 94 ปีแล้ว ดังนั้นในปีหน้า จึงมีโอกาสเสียชีวิตมากถึง 27.09% และมีโอกาสที่จะมีชีวิตต่อไปได้อีกประมาณ 2.76 ปี ส่วนกรณีของ Charlie Munger นั้นเมื่ออายุถึง 100 ปีแล้ว โอกาสจะเสียชีวิตในปีนั้นมีมากถึง 35.87% และหากมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็คงจะอยู่ได้อีกประมาณ 2 ปีเท่านั้น

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงจะอายุยืนกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตอนอายุ 90 ปีนั้น จากผู้ชาย 100,000 คนที่เกิดมาเมื่อ 90 ปีก่อนหน้า จะยังมีชีวิตอยู่เหลือเพียง 14,571 คน แต่สำหรับผู้หญิงนั้น จะยังมีชีวิตอยู่มากถึง 26,043 คน

ซึ่งเห็นใด้ว่า การมีอายุยืนยาวได้ถึง 90 ปีนั้น ต้องถือว่าโชคดีมากแล้ว Warren Buffet ก็คงจะเห็นเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน และการมีอายุมากถึง 95 ปี (ที่จะยังมีชีวิตเหลืออยู่เพียง 4,385 คนจาก 100,000 คน) นั้น ย่อมจะต้องถือว่าโชคดีมากแล้ว

แต่นอกจะอยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ควรจะต้องอยู่อย่างมีสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งองค์การอนามัยโลกมีข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุคือ การคำนวณอายุค่าเฉลี่ยตอนอายุ 60 ปี (Healthy Life Expectancy หรือ HALE)

โดยผมได้คัดข้อมูลของประเทศไทย และบางประเทศเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบดังที่ปรากฏในตาราง (ข้อมูลล่าสุดคือปี 2019)

ในกรณีของประเทศไทยนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้ชายที่อายุ 60 ปีจะมีอายุคาดเฉลี่ย 22.1 ปี (เสียชีวิตอายุ 82.1 ปี) และจะมีอายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพสมบูรณ์ (HALE) 17 ปี แปลว่าในช่วง 5.1 ปีสุดท้ายของชีวิต จะต้องอยู่โดยมีภาวะพิการซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ในขณะที่สำหรับผู้หญิงไทยนั้น จะอายุยืนกว่าผู้ชาย (อายุยืนถึง 84.8 ปี) แต่ก็จะมีช่วงสุดท้ายที่มีความพิการยาวนานถึง 6 ปี

การประชุมผู้ถือหุ้นของ Warren Buffet | ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขของไทยนั้นไม่ได้แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งฟินแลนด์ ที่เป็นประเทศซึ่งมีความสุขมากที่สุดในโลก

นอกจากนั้นประเทศมหาอำนาจเช่นจีนนั้น อายุค่าเฉลี่ยและ HALE ยังต่ำกว่าของไทยค่อนข้างมาก คืออายุคนจีนทั้งโดยรวมและ HALE ต่ำกว่าคนไทยถึง 2 ปี

แต่โจทย์ใหญ่สำหรับผู้สูงอายุทุกคนในโลกคือ การที่จะทำอย่างไรให้ช่วงที่สุขภาพไม่ดีในช่วงสุดท้ายของชีวิตสั้นที่สุด ให้เหลือเพียง 3-4 เดือนไม่ใช่ 5-6 ปี

ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่า เทคโนโลยีหรือความร่ำรวยทางเศรษฐกิจดูจากตัวเลขของประเทศเช่นอังกฤษ จะยังไม่มีคำตอบให้ผู้สูงอายุ ดังนั้น ทุกคนจะต้องหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยตัวเองครับ

คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร