ชวนคนไทยทำ ‘แผนการดูแลล่วงหน้า’ อยู่ดี=ตายดี วาระสุดท้ายของชีวิต
สช.เปิดเวที “สร้างสุขที่ปลายทาง ครั้งที่ 4” วงถกถ่ายทอดแนวคิดการวางแผนการดูแลล่วงหน้า “ACP” ออกแบบอนาคตกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ระบุ อยู่ดี= ตายดี เพื่อสุขที่ปลายทาง
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม รวม 13 องค์กร ร่วมกันจัดงาน “มหกรรมสร้างสุขที่ปลายทาง ครั้งที่ 4” ภายใต้แนวคิด “วางแผนและเตรียมความพร้อมของชีวิตเพื่อสุขที่ปลายทาง” ระหว่างวันที่ 15-16 ก.ย. 2565 เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งมุ่งหวังให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
คุณหญิงนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้ก่อตั้งและประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม กล่าว “Inspiration Talk อยู่ดี= ตายดี เพื่อสุขที่ปลายทาง” ว่าเรื่องเกิด เรื่องตายสำหรับตนเองถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะด้วยประสบการณ์ชีวิต ตั้งแต่เกิดมาก็มีความตายเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด
อย่าง ตอนป้าเกิดแม่ของป้าได้เสียชีวิต และมักจะได้ยินคำถาม เช่น แม่ไปไหน ทำไมแม่ไม่มารับ เราก็ตอบได้เพียงว่า แม่ตายแล้ว ทำให้คำว่าตายอยู่กับตนเองมาตลอดชีวิต จึงเสมือนฝังรากเอาไว้ว่าชีวิตกับความตายเป็นของคู่กัน
สำหรับตนเองที่ตั้งคำถามมาตลอด คือ ความรู้สึกดีๆของผู้อื่นสามารถโยงเข้ากับความรู้สึกดีๆ ของตัวเองหรือไม่ คุณหญิงนงศรี กล่าวต่อว่า หลายคนมักจะพูดว่า เธอรู้จักเมตตาคนอื่นก็ควรจะรู้จักเมตตาตนเองบ้าง ซึ่งเรื่องของความเมตตา ตนมองว่าความเมตตา เป็นความรู้สึกของความรักที่ไม่เรียกร้อง ไม่มีความอยาก เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้อยู่ที่ความคิดแต่อยู่ที่ใจ
- เมตตาต่อกายใจ ของตนเอง และส่งมอบไปยังผู้อื่น
"ถ้าทุกคนรู้สึกเมตตาที่แท้จริง ไม่ใช่แผ่เมตตาด้วยคำพูด เพราะคำพูดเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ความรู้สึกแปลเป็นคำพูดไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่งดงาม เป็นความสุขที่อยู่ข้างในและสามารถแผ่ความรู้สึกนั้นไปข้างนอกไปสู่ผู้อื่น นั่นคือ ความเมตตาที่แท้จริง และสิ่งนี้จะเป็นความรู้ดีๆ ที่เราสามารถเชื่อมโยงเข้ากับความรู้สึกของผู้อื่น"คุณหญิง นงศรี กล่าว
ทุกคนอยู่กับกายเรามาตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต มีความสัมพันธ์กับกายและสิ่งแวดล้อม ซึ่งความสัมพันธ์กับกายดังกล่าว ไม่ใช่เพียงให้กายรับใช้ตัวเรา หรือใช้กายเพื่ออวยให้คนอื่นเห็นว่าสวยหรือไม่สวย พึงพอใจหรือไม่ ซึ่งจริงๆ กายเป็นฐานของความรู้สึก กายที่หยาบของเรามีความรู้สึก และทุกคนควรรักกายด้วยความคิด ความรู้สึกที่แท้จริง เช่น นึกถึงความรู้สึกของนิ้วก้อย ตนเอง
คุณหญิงนงศรี กล่าวด้วยว่าเราควรฝึกให้รู้จักกายและใจของตนเอง โดยในส่วนของกายนั้น ต้องรู้สึกในขณะที่เราสบายดี ไม่ใช่ตอนเราเจ็บป่วย เราจะได้รู้สึกและเมตตากายของเราที่จะอยู่กับเราไม่จนตาย และทุกคนควรมีความคิด เรามีความรู้สึกนึกคิด รู้สึกทุกข์ สุข เห็นความคิดที่เกิดขึ้น สัมผัส รู้จัก เมื่อเจอความทุกข์ อยากให้พิจารณาความทุกข์ในขณะนั้น หน้าตาของความทุกข์เป็นอย่างไร ถ้าเรารู้สึกเราจะเมตตาตัวเอง เมตตาความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์
"เราต้องมีเมตตาต่อตัวเองก่อน ถึงจะสามารถเมตตาสิ่งภายนอกได้ และทุกคนควรรู้จักขอบคุณโลก ขอบคุณอากาศที่ทำให้กายของเราได้หายใจ ให้ความเย็นสบาย ขอบคุณสิ่งแวดล้อมรอบตัว ขอบคุณสัตว์ พืช ต้นไม้ ใบหญ้า เพราะการใช้ชีวิตของเราตอนนี้ สิ่งที่เรากินเข้าไปล้วนเป็นของที่ตายแล้วทั้งสิ้นเราควรขอบคุณ และควรระลึกไว้ว่าความตายล่อเลี้ยงชีวิตของเรา ทุกคนต้องเมตตาโลก" คุณหญิงนงศรี กล่าว
- วางแผนดูแลล่วงหน้า สร้างสุขวาระสุดท้าย
รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล นายกสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย กล่าวว่า การที่คนจะมีการตายที่ดีได้นั้นจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ในช่วงระยะท้ายของชีวิต ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญคือการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning) หรือ ACP ที่จะทำให้เราสามารถออกแบบอนาคตได้ว่าหากเกิดสถานการณ์เจ็บป่วยใดขึ้นแล้ว เราต้องการให้แพทย์ดูแลในแนวทางใด ซึ่งการดูแลแบบประคับประคอง ยังเป็นหนึ่งในแนวทางที่องค์การอนามัยโลก (WHO) สนับสนุน เพื่อให้แต่ละประเทศมีการดำเนินงานภายใต้บริบทในระบบสุขภาพของตน
รศ.พญ.ศรีเวียง กล่าวว่า การที่จะทำให้คนสามารถเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองได้มากขึ้น อาจต้องเริ่มจากการดูแลในโรงพยาบาลใหญ่ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นปลายทางของการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย เมื่อผู้ป่วยถึงจุดที่ไปต่อไม่ไหว จำเป็นต้องมีการพัฒนาทีม Palliative Care ที่มีคุณภาพ ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองได้มากขึ้น
ที่ผ่านมาตัวเลขจากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลจำนวนถึง 18% เข้าเกณฑ์ผู้ป่วย Palliative Care แต่ทีมที่ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีไม่เพียงพอ ฉะนั้นยังจะต้องมีการพัฒนาระบบ Primary Palliative Care หรือการให้แพทย์พยาบาลทั่วไปเข้าใจในหลักการ และให้การดูแลแบบประคับประคองในรายที่ไม่ซับซ้อนได้
“ที่สำคัญคือจะต้องมีการรณรงค์เรื่อง ACP เพราะการวางแผนล่วงหน้า จะช่วยลดการกลับเข้ารักษาที่ไม่เกิดประโยชน์ในโรงพยาบาลได้ ขณะเดียวกันทีมของโรงพยาบาลก็จะต้องมีการเชื่อมประสานกับเครือข่ายในชุมชน เพราะบ้านจะเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่เหมาะสมที่สุด ในรายที่การรักษาตัวโรคนั้นไม่สามารถทำได้แล้ว จะเป็นการดูแลเรื่องของจิตใจ จิตสังคม ไปถึงจิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีระบบการดูแลประคับประคองในชุมชนที่แข็งแรง” รศ.พญ.ศรีเวียง กล่าว
- คนไทยวางแผนดูแลตัวเองน้อย เพิ่มศักยภาพการบริการ เข้าถึงสิทธิ
รศ.พญ.ศรีเวียง ยังกล่าวด้วยว่า จากการศึกษาโรงพยาบาลใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พบว่าผู้ป่วยมีการทำ ACP ไว้น้อยมาก และที่สำคัญคือผู้ป่วยน้อยรายที่จะมีส่วนร่วมในการพูดคุยวางแผนการดูแล ส่วนใหญ่จะเป็นญาติหรือครอบครัวที่เป็นคนทำในตอนที่ผู้ป่วยไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว
ขณะที่ระยะเวลาก็ทำเพียง 5 วันก่อนเสียชีวิต แบบนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นว่ามีการทำที่ยังช้าและไม่มากนัก แต่ผู้ป่วยที่มีการทำ ACP ก็จะมีการใช้ระยะเวลาอยู่ในโรงพยาบาลสั้นกว่า เผชิญการรักษาที่รุกราน (Invasive procedure) น้อยกว่า และค่าใช้จ่ายก็ต่ำกว่า โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือไม่ทำให้ผู้ป่วยทรมาน
ศ.คลินิก นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา ประธานกรรมการกำกับทิศการขับเคลื่อน ACP กล่าวว่า ทิศทางของประเทศไทยจะต้องทำให้ประชาชนตื่นตัวในเรื่องสิทธิด้านสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมตัววางแผนในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตให้มากขึ้น เช่นเดียวกับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขเองก็ต้องตื่นตัว เพราะในอนาคตเรื่องนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบการแพทย์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยบางรายอาจไม่จำเป็นต้องเข้าสถานพยาบาล แต่เราสามารถดูแลได้ที่บ้าน
อย่างไรก็ตาม นอกจากประชาชนและบุคลากรจะมีความเข้าใจแล้ว ระบบบริการเองก็ต้องรองรับ ซึ่งขณะนี้กรมการแพทย์ยืนยันแล้วว่า ปัจจุบันเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตมีโครงสร้างรองรับแล้ว ภายใต้ Service Plan ด้าน Palliative Care แม้แต่ละแห่งยังอาจมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แต่ก็จะต้องพยายามเพิ่มศักยภาพของการบริการให้สูงขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันสิทธิของประชาชนในเรื่องนี้เองก็ต้องถูกกำหนดเป็นชุดสิทธิประโยชน์ด้วย
“นับจาก 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป เราจะมีการกระจายอำนาจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรงนี้คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ หากในอนาคตข้างหน้าการบริหารจัดการเรื่องการดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต เป็นท้องถิ่นที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็จะทำให้ปัญหาถูกแก้ไขได้โดยพื้นที่ ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนตามบทบาทของแต่ละภาคส่วน ทั้งภาครัฐ วิชาการ และประชาชน จะทำให้เราเดินหน้าไปด้วยกันได้” ศ.คลินิก นพ.สุพรรณ กล่าว
- รณรงค์ให้ทุกคนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถทำ ACPได้
ขณะที่ น.ส.วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานกลุ่ม Peaceful Death กล่าวว่า เห็นด้วยว่าการสร้างความตระหนักในการวางแผนสุขภาพล่วงหน้า หรือ ACP จะเป็นตัวชี้ขาดในเรื่องการเข้าถึงสุขภาวะในระยะท้าย ทำให้ความปรารถนาของผู้ป่วยเป็นรูปธรรม รวมถึงต้องทำให้นโยบาย กลไก และระบบชุมชนเกื้อกูลกับการดูแล เพราะในปัจจุบันพบว่าหลายครอบครัวไม่มีผู้ดูแลผู้ป่วย ไปจนถึงผู้สูงวัยจำนวนมากที่ถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียว ฉะนั้นจะต้องร่วมกันสนับสนุนระบบสังคมให้เกิดกลไกการดูแลที่ดี เช่น ออกแบบระบบการดูแลตามบ้าน
น.ส.วรรณา กล่าวว่า ในส่วนของการสร้างความตระหนัก อยากรณรงค์ให้ทุกคนตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ก็สามารถมีการทำ ACP ไว้ล่วงหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นผู้ป่วยหรือเป็นผู้สูงวัย เพราะการทำไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ป่วยหรือยังอายุน้อย ย่อมดีกว่าการไปทำใน 4-5 วันสุดท้าย ซึ่งจะพลาดโอกาสในการวางเป้าหมายแท้จริงที่ต้องการได้ และสุดท้ายเรื่องนี้ไม่สามารถเคลื่อนได้ด้วยภาคสาธารณสุขอย่างเดียว แต่ทุกภาคส่วนจะต้องมามีส่วนร่วมในการดูแลชีวิตบั้นปลายที่ดีของผู้คนไปด้วยกัน
ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมขับเคลื่อนการสร้างสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาระบบ กลไก การสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามยังคงมีความท้าทาย ทั้งในการพัฒนาระบบบริการดูแลแบบประคับประคอง รวมถึงการรับรู้ของประชาชนต่อการวางแผนชีวิตล่วงหน้า การออกแบบความต้องการหรือไม่ต้องการในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามเจตนารมย์ของมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
“การจัดงานสร้างสุขที่ปลายทาง ครั้งที่ 4 จะเป็นการสร้างความเข้าใจนโยบาย ทำให้บุคลากรสาธารณสุขรวมถึงประชาชนทั้งประเทศ ได้รับทราบถึงหัวใจของมาตรา 12 ที่มุ่งเน้นส่งเสริม คุ้มครองให้เกิดการเข้าถึงสิทธิของผู้ป่วย ที่จะรับหรือไม่รับการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้าย รวมไปถึงการสนับสนุนให้ภาคีเครือข่ายและหน่วยงานทีเกี่ยวข้อง ได้มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการ และขยายผลการขับเคลื่อนเรื่องนี้ร่วมกันในระยะยาวต่อไป” นพ.ประทีป กล่าว