ได้กลิ่นไปเอง ได้ยินเสียงแปลกๆ เห็นภาพหลอน ไม่ใช่ผีหลอก วิทยาศาสตร์มีคำตอบ
เมื่อบางคนได้กลิ่นแปลกๆ, มองเห็นภาพหลอน, ได้ยินเสียงคนเรียกแต่ไม่มีต้นตอเสียง หรือขยับตัวไม่ได้ขณะนอนหลับ อาจมองว่าเป็นความเชื่อหรือในเรื่องลี้ลับ แต่ที่จริงแล้วมีคำอธิบายทางการแพทย์ว่า อาการเหล่านี้เกิดจากระบบร่างกายทำงานผิดปกติ
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่ ? ได้กลิ่นแปลกๆ ไปเองคนเดียว เช่น กลิ่นธูป ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีใครจุดธูป มองเห็นภาพหลอนในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงแปลกๆ เช่น คนเรียกชื่อ หรือ ตื่นมาแล้วขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ออก ทั้งหมดนี้เป็นอาการที่หลายคนเชื่อว่าเกี่ยวกับพลังงานเหนือธรรมชาติ หรือ โดนผีหลอกเข้าให้แล้ว แต่อย่าเพิ่งกลัวจนเกินไป เพราะจริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้มี คำอธิบายทางการแพทย์
อาการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นทีเดียวพร้อมกัน แต่แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงแค่อย่างเดียวก็เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่ามีบางอย่างที่ทำงานผิดปกติ
- ตื่นมาแล้วขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม่ใช่ผีอำ แต่การนอนหลับมีปัญหา
ใครที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วขยับตัวไม่ได้ ไม่มีเสียงออกมาเมื่อพยายามพูด หรือรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งทับหน้าอก หลายคนนิยามอาการนี้ว่ากำลังพบเจอเรื่องลี้ลับที่เรียกว่า “ผีอำ” แต่ความจริงแล้วอาการนี้มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า “Sleep Paralysis” เป็นภาวะที่ร่างกายรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ได้ และมีความรู้สึกอึดอัดคล้ายหายใจลำบาก มักเกิดขึ้นช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่จะไม่เกิดขึ้นในตอนที่ร่างกายตื่นหรือรู้สึกตัวอยู่
อาการ Sleep Paralysis สามารถแบ่งได้ 2 แบบ ดังนี้
1. เกิดขึ้นตอนใกล้หลับ (Predormital Sleep Paralysis) เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะผ่อนคลาย เมื่อเกิดอาการจะรู้สึกแค่ว่าขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้เท่านั้น
2. เกิดขึ้นตอนใกล้ตื่น (Postdormital Sleep Paralysis) ร้อยละ 75 ของผู้ที่มีอาการจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ มักจะสะดุ้งตื่น รู้สึกแน่นหน้าอก อึดอัด ขยับตัวและพูดไม่ได้ โดยมีอาการอยู่ที่ 5-10 นาที
สาเหตุทางการแพทย์ของอาการ Sleep Paralysis หรือ อาการผีอำ
- มีการนอนหลับที่ผิดปกติ เช่น นอนไม่พอ หรือ นอนไม่หลับ เมื่อมีอาการนี้สะสมจึงทำให้เกิดอาการผีอำได้
- นอนไม่เป็นเวลา จากอาชีพที่ทำงานเป็นกะ เนื่องจากเวลานอนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
- ปัญหาจากสุขภาพจิต เช่น ความเครียด หรือ ผู้ป่วยสภาวะอารมณ์สองขั้ว
- ผลจากยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น
- การใช้สารเสพติด
สำหรับใครที่ถูกผีอำบ่อย อาจแก้ไขได้โดยการเริ่มเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวันเพื่อปรับการนอนหลับ หลีกเลี่ยงการนอนหงาย ออกกำลังกายเป็นประจำโดยไม่ต้องหนักมาก และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม แต่ถ้าหากไม่สามารถแก้ด้วยตัวเองได้ และยังมีอาการต่อเนื่องก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา
- ได้กลิ่นไปเองไม่เกี่ยวกับผี แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาการประสาทหลอน
ได้กลิ่นธูป ได้กลิ่นเหม็นแปลกๆ ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีอะไร ไม่ได้หมายความว่าโดนวิญญาณตามติด แต่เป็นอาการผิดปกติที่ทางการแพทย์เรียกว่า แฟนโทสเมีย (Phantosmia) หรือ ภาวะได้กลิ่นที่ไม่มีอยู่จริง เป็นส่วนหนึ่งของอาการประสาทหลอนที่เกิดขึ้นในระบบรับรู้กลิ่น ทำให้ได้กลิ่นต่างๆ ไปเองคนเดียว
สาเหตุของภาวะได้กลิ่นที่ไม่มีจริง (Phantosmia) เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. ความผิดปกติของระบบประสาทและสมอง เช่น
- โรคลมชักกลีบขมับ
- ลมบ้าหมู
- สมองอักเสบ
- เนื้องอกในสมอง
- แผลที่กลีบขมับ ที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง
- อุบัติเหตุที่ทำให้สมองเกิดการบาดเจ็บ ไปจนถึงผลข้างเคียงจากการผ่าตัดสมอง
2. การติดเชื้อระบบหายใจส่วนบน เช่น
- เป็นหวัด
- อาการระคายเคืองต่อมลภาวะ
- โรคภูมิแพ้
- ไซนัสอักเสบ
- ริดสีดวงจมูก
- เนื้องอกในโพรงจมูก
- มะเร็งในช่องจมูก
3. โรคจิตเภท เช่น โรคซึมเศร้า
4. พฤติกรรมในภาวะติดยาหรือติดเหล้า ได้แก่
- ภาวะถอนสุรา
- เสพยาเสพติด เช่น โคเคน
- ได้รับพิษจากการสูดดมสารเคมีเป็นประจำ
สำหรับผู้ที่มีอาการดังกล่าวต้องรักษาที่ต้นเหตุเท่านั้นถึงจะหาย เช่น หากเป็นโรคซึมเศร้า ก็รักษาโดยการรับประทานยาหรือการทำจิตบำบัด นอกจากนี้ยังมีการบรรเทาอาการ ได้ดังนี้ ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ใช้ยาพ่นจมูก Oxymetazoline HCl และ การรับประทานยากล่อมประสาท Venlafaxine
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการได้กลิ่นผิดปกติ ช่วงแรกจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีแต่หลังจากนั้นจะเกิดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนรบกวนชีวิตประจำวัน มักเกิดขึ้นในผู้หญิงอายุ 15-30 ปี หากมีอาการหนักขึ้นการรับรสก็จะเพี้ยนตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็ว
- ได้ยินเสียงแปลกๆ ไม่ได้แปลว่าโดนทำของใส่ แต่คืออาการประสาทหลอน
หลายคนเชื่อว่าเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ เช่น เคียงคำราม หรือ เสียงเรียกชื่อ อาจเป็นเพราะมีคนทำไสยศาสตร์ใส่ หรือเป็นอีกหนึ่งอาการที่มาจากสิ่งลี้ลับ แต่ความจริงแล้วภาวะนี้เรียกว่า “หูแว่ว” หรือ อาการประสาทหลอนทางหู (Auditory hallucinations) มีอาการคล้ายกับจมูกเพี้ยน มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคจิตเวช เช่น โรคจิตเภท โรคไบโพลาร์ แต่ทั้งนี้คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถมีอาการประสาทหลอนได้เช่นกัน
สำหรับผู้ที่มี อาการหูแว่ว มักได้ยินคำพูด หรือเสียงแปลก ๆ โดยเสียงที่ได้ยินอาจชัดหรือไม่ชัด เป็นเสียงผู้หญิง ผู้ชาย มีเสียงเดียวหรือมีหลายเสียง ในผู้ป่วยบางคนอาจพูดจาโต้ตอบเสียงเหล่านั้นด้วย
การรักษาอาการหูแว่ว เบื้องต้นสำหรับโรคนี้นั้น แพทย์จะประเมินอาการ แล้วทำการจ่ายให้รักษาโรคให้ และทำจิตบำบัดร่วมด้วย
- เห็นแสงสว่างหรือคนที่ไม่มีจริง ไม่เกี่ยวกับพลังงานบางอย่าง แต่เรากำลังป่วย
มองเห็นภาพใครบางคนมายืนอยู่ตรงหน้า หรือเห็นแสงสว่างจ้าแบบไม่มีที่มา อย่าเพิ่งกลัวว่าโดนผีหลอก เพราะความจริงคืออาการเริ่มต้นของ โรคจิตเภท และ อัลไซเมอร์
ในทางการแพทย์ อาการประสาทหลอน หรือ จิตหลอน คือ การที่ประสาทสัมผัสในขณะที่ตื่น สัมผัสสิ่งต่างๆ ได้โดยที่ในความเป็นจริงไม่ได้มีสิ่งนั้นอยู่ แต่เป็นสิ่งที่จิตใจของคนที่เกิดประสาทหลอนเห็นและเชื่อไปเอง
การเห็นภาพหลอนนั้นแบ่งได้เป็น 2 โรค ดังนี้
1. โรคทางจิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเห็นภาพหลอนร่วมด้วย ซึ่งพบได้มากถึง 16-72% ในผู้ป่วย โดยอาการภาพหลอนในผู้ป่วยที่เป็นจิตเภทมักมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นจิตเภทเพราะมีปัจจัยทางจิตร่วมด้วย จะมีอาการเห็นภาพหลอนที่เกี่ยวข้องกับคนลในครอบครัว วัตถุที่เป็นความเชื่อทางศาสนาและสัตว์ การแสดงอาการของการเห็นภาพหลอนจะขึ้นอยู่กับสภาพเงื่อนไขของผู้ป่วยด้วย
2. โรคอัลไซเมอร์ จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ระยะกลางของอาการป่วย ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นภาพหลอน หูแว่ว มีพฤติกรรมก้าวร้าว ถ้าถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว ก็อาจเดินออกจากบ้านแล้วหาทางกลับบ้านไม่ได้เลย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่อง จมูกเพี้ยน หูแว่ว เห็นภาพหลอน และ ผีอำ ล้วนมีสาเหตุมาจากการทำงานของร่างกายที่ผิดปกติทั้งสิ้น โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด และเมื่อรู้ตัวว่ามีอาการหรือสังเกตเห็นคนใกล้ตัวมีความผิดปกติเหล่านี้ ควรแนะนำให้ไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาในอนาคต
อ้างอิงข้อมูล : SCI Planet, Hello Khunmor, Ampro Health, Haamor, คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี และ รพ.ศครินทร์