‘แก่’ หรือ ‘หนุ่ม' อยู่ที่ใจ | วรากรณ์ สามโกเศศ
มีข้อเขียนหนึ่งที่แพร่หลายอยู่ในอินเตอร์เน็ตอย่างน่าสนใจยิ่งของผู้ใช้นามว่า “วัลลภ นักจิตบำบัด” ผู้เขียนขออนุญาตนำมาสื่อสารต่อและค้นคว้าเพิ่มเติมสำหรับ“อาหารสมอง” วันนี้ ข้อเขียนนี้มีชื่อว่า “ผลวิจัยจากฮาร์วาร์ด ส.ว.ลองย้อนวัย”
“คนแก่วัยเจ็ดสิบกว่ากลุ่มหนึ่งเดินทางย้อนเวลาไปในปี ค.ศ. 1959 พวกเขาใช้ชีวิตในอดีต ฟังเพลงจากวิทยุที่เป็นเพลงยุคนั้น ดูโทรทัศน์ที่ฉายหนังเก่าของช่วงเวลานั้น เมื่อหวนคืนสู่โลกปัจจุบัน กลับแข็งแรงกว่าเดิม
หากคิดว่านี่เป็นพล็อตหนังแฟนตาซีสักเรื่องก็ผิดแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง ทว่ามันไม่ใช่การเดินทางย้อนเวลาจริง ๆ มันเป็นการจัดฉาก นี่คือการทดลองที่เรียก Counterclockwise เป็นแนวคิดของ Ellen Langer ศาสตราจารย์จิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
การทดลองทำโดยให้คนแก่กลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตในสถานที่ซึ่งจำลองสิ่งแวดล้อมของปี 1959 เพลงที่ดังผ่านวิทยุเป็นเพลงเมื่อห้าสิบปีก่อน โทรทัศน์ฉายเรื่องห้าสิบปีก่อน ประหนึ่งพวกเขานั่งยานเวลาไปปรากฏตัวในโลกเมื่อห้าสิบปีก่อน
ทุกคนที่เข้าไปในโลกนั้นต้องแต่งตัวตามยุคนั้น พูดจาโดยใช้ภาษาของยุคนั้น ห้ามพูดเรื่องที่เป็นเหตุการณ์หลังปี 1959 พูดง่าย ๆ คือ ‘สะกดจิต’ ตัวเองให้คืนอดีต
เจตนามิได้ต้องการย้อนอดีตเพื่อรำลึกความหลัง แต่ทดลองเพื่อดูผลทางกายภาพเมื่อสมองเชื่อว่าร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะของเมื่อยังหนุ่มสาว
คนจำนวนมากชอบย้อนคิดถึงอดีตอันสุขสม ถ้าเราสามารถย้อนความคิดความรู้สึกอารมณ์เรากลับไปได้ ทำไมเราไม่สามารถย้อนสภาวะทางกายภาพเราด้วย อย่างน้อยในระดับหนึ่ง ?
หลังจากหนึ่งอาทิตย์ในโลกอดีตก็ถึงเวลาวัดผลสุขภาพ ปรากฏว่าแทบทุกคนที่ร่วมการทดลองก้าวออกจากอดีตปี 1959 ด้วยสภาพร่างกายดีขึ้น ความดันดีขึ้น ประสาททุกส่วนทำงานดีขึ้น ความจำดีขึ้น การฟังและสายตาดีขึ้น
คนที่เดินถือไม้เท้าเข้าไปในโลกอดีตกลับออกมาด้วยการเดินเองราวกับว่าการหลอกตัวเองว่าอยู่ในอดีต ทำให้เซลล์ในร่างกายก็คืนอดีตด้วย
การทดลองนี้ชี้ว่า บางทีเป็นไปได้ว่าจิตสามารถทำงานแบบ ‘ย้อนเวลา’ และทำให้ร่างกายหนุ่มขึ้น หรือพูดง่าย ๆ คือพลังจิตสามารถคุมร่างกาย
และถ้าจิตสามารถทำเรื่องนี้ได้ ใครจะรู้ว่ามันสามารถมีพลังรักษาหรือทำเรื่องที่มากกว่านี้ได้หรือไม่ บางทีมันอาจสามารถรักษาโรคที่การแพทย์บอกว่ารักษาไม่ได้
การทดลองยังบอกเป็นนัยว่า ความแก่อาจเป็นผลจากความคิดว่าเราแก่ มากกว่าความเสื่อมจริง ๆ ทางกายภาพ
มันอาจแปลว่าคนเราแก่เพราะเราคิดว่าตัวเองแก่ คนเราเมื่ออายุเพิ่ม จำเป็นต้องแก่ตามอายุด้วยหรือไม่ ? หรือว่าความแก่เป็นความรู้สึกทางใจ มากกว่าทางกายภาพ ? เป็นไปได้ไหมที่เราชะลอความแก่โดยคิดว่าเราไม่แก่ ?
คนจำนวนมากในโลกมีความสุขในวัยเด็ก หรือมีความทรงจำบางตอนที่ดีมาก เป็น ‘happy moment’ ที่ทุกครั้งเมื่อระลึกถึง จะมีรอยยิ้มที่ริมฝีปากเสมอ
บางครั้งในการบำบัดจิตก็สะกดจิตตัวเองโดยระลึกภาพสวยงามเหล่านี้ ทำให้จิตนิ่งขึ้น และผ่อนคลายเมื่อจิตดี สุขภาพก็ดีขึ้นด้วย เราอาจไม่มีทางหยุดตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที แต่เราอาจหยุดความรู้สึกว่าแก่
ไม่ว่าการทดลอง Counterclockwise จะใช้ได้กับทุกคนหรือสามารถขยายขอบเขตของมันไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้หรือไม่ มันทำให้เราต้องย้อนคิดใหม่ว่า บางทีเราถูก ‘สะกดจิต’ ให้อยู่ในกรอบคิดว่าสูงวัยคือ ความแก่
ตั้งแต่เด็กมาเรามองภาพคนแก่ทำกิจกรรมของคนหนุ่มสาวว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด มองไปรอบตัวเรา เราพบว่าคนสูงวัยบางคนแก่หง่อม บางคนยังกระฉับกระเฉง เป็นเพราะพันธุกรรมอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ ?
ในเรื่องอายุและความแก่ เรามักมีกรอบคิดเฉพาะอย่าง เวลาคนสูงอายุลืมเรื่องบางเรื่อง จะบอกว่า “ฉันแก่แล้ว จึงขี้ลืม” เราชอบโยงการขี้ลืมกับความแก่ มันทำให้สังคมเกิดภาพฝังหัวว่า ถ้าอายุมากก็สมควรขี้ลืม ซึ่งไม่ถูกเสมอไป
การขี้ลืมอาจเป็นเพราะนอนไม่พอ หรือไม่สนใจในเรื่อง นั้น ๆ ก็ได้ อาจไม่ใช่เพราะอายุ คนสูงวัยจำนวนมากไม่ทำกิจกรรมหลายอย่าง เพราะสะกดจิตตัวเองว่า “ฉันแก่เกินไป” เมื่อปวดหลังก็บอกว่า “ฉันแก่ กระดูกจึงเสื่อม” ความจริงที่ปวดหลังอาจเพราะเผลอยกของหนัก
ดังนั้นการสร้างกรอบคิดอายุมากคือแก่ จึงอาจทำร้ายเราเอง หรือทำให้เสียโอกาสพบสิ่งดี ๆ ในชีวิต
อาการป่วยหลายอย่างเกิดจากใจป่วย ใจบอกให้ป่วย บอกว่าเราจะรู้สึกแย่ ร่างกายก็เชื่อฟัง ในทำนองกลับกัน หากเราเปลี่ยนพลังจิตเป็นบวกก็อาจทำให้โรคจริง ๆ ลดลงหรือความแก่หายไป กล่าวคือ “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
ผู้รู้จักคนที่อายุ 74 ยังวิ่งมาราธอน คนแก่จำนวนไม่น้อย อายุเลข 90 แล้ว ยังออกกำลังกาย เต้นรำและทำกิจกรรมอื่น ๆ
ผมเคยเห็นภาพหญิงชราเตะตะกร้ออย่างสนุกสนานเพราะอยากเตะตะกร้อ ไม่ได้โยงการเตะตะกร้อกับอายุ เมื่อไม่ได้คิดโยงว่าคนแก่เตะตะกร้อไม่ได้ก็สนุกกับกิจกรรมที่อยากทำ คนแก่จึงมักแก่ที่ใจก่อน”
Ellen Langer เป็นยักษ์ใหญ่ด้านจิตวิทยาของโลก ปัจจุบันเธออายุ 76 ปี เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี 2009 เธอตีพิมพ์หนังสือชื่อ“Counterclockwise” ซึ่งมาจากการวิจัยบุกเบิกที่มีชื่อเสียงมากในปี 1979
ดังที่กล่าวข้างต้นเพื่อตอบคำถามที่ว่า “ถ้าเราหมุนนาฬิกากลับได้ในเชิงจิตวิทยา เราจะสามารถหมุนกลับได้ด้วยในเชิงร่างกายหรือไม่ ?”
การศึกษาในเรื่องความสูงอายุนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า “กายและจิต” นั้นเชื่อมต่อถึงกันอย่างมากกว่าที่คิดซึ่งนำไปสู่การรักษาพยาบาลทางจิตพร้อมกับทางกายที่มากขึ้นในโลกปัจจุบัน อันแตกต่างกว่าการแพทย์ในสมัยก่อนที่เน้นแต่การรักษาด้านกาย
คำถามที่กระตุ้นให้คิดข้างต้น เตือนให้นึกถึงข้อความตลกเกี่ยวกับความแก่ที่ว่า “Young at heart, slightly older in other places” (หัวใจยังหนุ่มแต่แก่บ้างเล็กน้อยในส่วนอื่น ๆ”)
ผู้เขียนข้อความที่นำมาในวันนี้บอกว่ารายละเอียดอยู่ในหนังสือ "ความสุขเล็ก ๆ ก็คือความสุข" (ผู้เขียน วินทร์ เลียววาริณ).