เทศกาลกินเจ 2566 อาหารต้องห้าม ไม่ได้มีแค่สัตว์-ผักกลิ่นฉุน
เทศกาลกินเจ 2566 อาหารช่วงกินเจ ที่ห้ามรับประทาน ไม่ได้มีแค่สัตว์และผักกลิ่นฉุน แต่ยังมีสิ่งที่ควรเลี่ยงอีกหลายอย่าง ต้องรู้ไม่ให้เจแตก เมื่อออกเจ ต้องมีหลักปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ระบบร่างกายรวน
Keypoints:
- เทศกาลกินเจ 2566 ตรงกับวันที่ 15-23 ตุลาคม ซึ่งกินเจมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย แต่จะต้องทำให้ถูกหลัก จะได้ไม่เพิ่มปัญหาด้านสุขภาพ
- อาหารที่ห้ามรับประทานในช่วงเทศกาลกินเจ ไม่ได้มีแต่สัตว์ และผักกลิ่นฉุน 5 อย่างเท่านั้น แต่ยังมีอาหารที่ควรเลี่ยงมากกว่านั้น รวมถึงหลักการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- กินเจติดต่อกันเป็นเวลา 9 วัน ส่งผลให้ร่างกายมีการปรับสภาพของระบบการย่อยอาหาร เมื่อออกเจในช่วง 2-3 วันแรก จึงควรปรับสภาพร่างกายก่อน ซึ่งมีหลักง่ายๆที่ต้องปฏิบัติ
เทศกาลกินเจ เป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวไทยเชื้อสายจีนที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ ในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-23 ตุลาคม 2566
ประโยชน์ของการกินเจต่อร่างกาย
ผู้ที่ถือศีลกินเจจะงดการรับประทานเนื้อสัตว์ รวมไปถึงพืชผักที่มีกลิ่นฉุน เลือกรับประทานผักผลไม้ และรักษาศีล ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตและยังเป็นการรักษาสุขภาพ
เนื่องจาก การรับประทาน พืช ผัก ผลไม้ และธัญพืช ส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายปรับตัวอยู่ในภาวะสมดุลเพราะเกิดการขับพิษและของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบย่อยอาหารจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สุขภาพดีขึ้น
อาหารที่ห้ามในช่วงกินเจ
- ห้ามทานเนื้อสัตว์ และห้ามทำอันตรายต่อสัตว์
- ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่ กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ), หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต), หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม), กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ) และ ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ) นอกจากนี้ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย
- นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
- อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
อาหารที่ควรเลือกทานช่วงกินเจ
นพ.ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อไปว่า หากต้องการรับประทานอาหารเจให้ได้ประโยชน์กับร่างกายอย่างแท้จริง ประชาชนต้องใส่ใจการเลือกรับประทานอาหารเจให้มากขึ้น ดังนี้
- เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- มีความหลากหลายของชนิดอาหาร และถูกหลักโภชนาการ
- เน้นอาหารที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ เช่น ธัญพืช เต้าหู้ ถั่ว และเพิ่มวิตามินบี 12 เนื่องจากการบริโภคอาหารเจในระยะยาวมีโอกาสขาดวิตามินนี้ได้
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น หวานจัด มันจัด เค็มจัด การทานอาหารรสเค็ม จะมีปริมาณของโซเดียมสูงหากทานมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การล้าง ผักสดด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้งก่อนบริโภคเพื่อลดสารพิษตกค้าง
- เลือกรับประทานผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมมีรสชาติไม่หวานจัด
- เลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปที่สะอาดและได้มาตรฐาน เช่น ร้านที่ผู้ขายสวมผ้ากันเปื้อน หมวกคลุมผม ใช้อุปกรณ์หยิบจับอาหาร ภาชนะบรรจุอาหารสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเจสำเร็จรูปในภาชนะบรรจุพร้อมจำหน่าย ต้องมีฉลากถูกต้อง มีคุณค่าทางโภชนาการผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
อาหารกินเจที่ผู้มีโรคประจำตัวควรระวัง
นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงควรลดการบริโภคอาหารผัดหรือทอดเพราะหากบริโภคบ่อยครั้งจะทำให้น้ำหนักตัวเกินหรือมีภาวะไขมันในเลือดสูงได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ควรบริโภคกลุ่มคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งให้พอเหมาะ หากบริโภคมากเกินพอดีอาจทำให้ไขมันและน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไต ต้องจำกัดผัก ใบเขียว และผลไม้บางชนิดที่มีค่าโพแทสเซียมสูง หรือถั่วเหลือง ธัญพืชบางกลุ่มและจำกัดเครื่องปรุงโซเดียมสูง รวมถึงผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคอ้วนควรควบคุมการรับประทานอาหารเจ และออกกำลังกายเพื่อช่วย การเผาผลาญแป้งและน้ำตาลที่รับประทานมากขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจ
ปรับสภาพร่างกายช่วงออกเจ
ขณะที่กรมอนามัย แนะนำว่า เมื่อออกเจ ควรปรับสภาพร่างกายด้วยการกินอาหารอ่อน ย่อยง่ายประเภทเนื้อปลา ไข่ นมผักและผลไม้ ให้หลากหลายครบ 5 หมู่ เลือกรสไม่จัด เลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม และอาหารย่อยยากอย่างเนื้อสัตว์ติดมันเนื้อวัว เนื้อหมู เพื่อให้ร่างกายค่อยๆปรับระบบการย่อยอาหารจากพืชผักมาเป็นเนื้อสัตว์ในช่วงแรก
เพราะหากบริโภคอาหารที่ย่อยยากหรืออาหารตามปกติเลย อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง และย่อยอาหารได้ไม่ดี โดยเมนูอาหารย่อยง่าย อาทิไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ปลานึ่งขิง แกงจืดเต้าหู้ไข่ใบตำลึง
ผู้ที่ต้องการจะกลับมาดื่มนมวัวหลังออกเจ แนะนำให้เริ่มดื่มครั้งละน้อย ประมาณครึ่งแก้ว และสามารถเพิ่มเป็นครั้งละ 1 แก้วได้ในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือดื่มนมหลังอาหารขณะที่ท้องไม่ว่าง หรือดื่มนมในช่วงสายหรือช่วงบ่าย ในมื้ออาหารว่างหรือเลือกผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านการย่อยน้ำตาลแลคโตสบางส่วนโดยจุลินทรีย์ เช่น โยเกิร์ตหรืออาจดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนไปก่อน เมื่อรู้สึกว่าร่างกายสามารถปรับสภาพการย่อยอาหารกลับสู่ภาวะเดิมได้แล้วก็สามารถกินอาหารและดื่มนมได้ตามปกติ