อย่ามองข้าม! 'โรคใกล้ตัว' ผู้หญิงยุคใหม่ ตรวจสุขภาพก่อนสาย
สังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้หญิงยุคใหม่ ที่ไม่ได้ทำงานบ้าน รับผิดชอบดูแลครอบครัวเท่านั้น แต่ต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้ภาระมากมายตกอยู่กับผู้หญิง จนบางครั้งหลายคนอาจหลงลืมที่จะดูแลสุขภาพตัวเองไป นำมาซึ่งโรคแฝงมากมาย
Keypoint:
- ภัยฮิตของผู้หญิงยุคใหม่ที่แม้จะประสบความสำเร็จเรื่องงาน และครอบครัว คงไม่พ้นเรื่องของสุขภาพทั้งกายและใจ
- วิธีป้องกันห่างไกลโรคของผู้หญิงมีอยู่หลายวิธี อาทิ ให้เวลาตนเองได้พักผ่อน ออกกำลังกาย เข้าสปา เข้าร้านเสริมสวย ทำอาหารหรือขนม ดูหนังฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง ฝึกสติ ลดความเครียด เพิ่มพลังในการดำเนินชีวิต
- 'การตรวจคัดกรอง' หมั่นดูแลสุขภาพ ซึ่งการพบโรคเร็วนั้นก็มีประโยชน์หลายอย่าง
พฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการใส่ส้นสูง สะพายกระเป๋าหนักๆ นั่งไขว้ห้าง นั่งกอดอก ยืนหลังแอ่น นอนขดตัว นอนตะแคง รวมถึง การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานอาหารไม่ตรงเวลา และนอนดึก ล้วนเป็นการทำร้ายสุขภาพทั้งสิ้น
นอกจากนั้นสุขภาพกายแล้ว ‘ผู้หญิง’ ยังมีความเสี่ยงที่จะเครียดได้ง่าย เพราะโดยธรรมชาติผู้หญิงมีแนวโน้มคิดเล็กคิดน้อยอยู่ตลอดเวลา มีความกังวลและอารมณ์เศร้ามากกว่าผู้ชาย อีกทั้งถูกเลี้ยงดูให้ทำหน้าที่ดูแลคนรอบข้าง ทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน มักไม่ค่อยให้เวลาดูแลอารมณ์ตนเองเท่ากับเวลาที่ใช้ในการดูแลคนอื่น
ยิ่งช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีผลต่อภาวะอารมณ์ เช่น ในช่วงรอบเดือน หรือตั้งครรภ์ หลังคลอด ไปจนถึงวัยทอง ผู้หญิงจึงควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียดลงบ้าง อย่าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'หัวใจสลาย' อกหัก เสียใจ เศร้าใจ เครียดรุนแรง อันตรายถึงชีวิตได้
จะรู้ได้อย่างไร?..ว่าเข้าข่าย 'โรคอ้วน' ศูนย์รักษ์พุง รพ.จุฬาฯ ช่วยได้
สัญญาณเตือนโรคใกล้ตัวของผู้หญิง
ผู้หญิงหลายคนทำงาน ดูแลครอบครัว จนไม่มีพื้นที่ในการดูแลตัวเอง ส่งผลให้เกิดโรคมากมายโดยไม่รู้ตัว สำหรับสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่ผู้หญิงยุคใหม่ต้องระวัง
1. ปวดประจำเดือนมากจนผิดสังเกต
รู้ไว้ว่าเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายอย่าง “ซีสต์” หรือถุงน้ำในรังไข่ ช็อกโกแลตซีสต์ โรคพังผืด ชั้นกล้ามเนื้อมดลูกโรคเนื้องอกในมดลูกหลายชนิดควรตรวจร่างกายเป็นประจำหากพบสิ่งผิดปกติแพทย์จะใช้ยาหรือผ่าตัดส่องกล้องสามมิติผ่านทางหน้าท้องวิธีนี้ช่วยให้เจ็บน้อย แผลขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็วหมดกังวลเรื่องรอยแผลเป็นยาวๆ
2. ขี้เซา ตื่นยาก
แม้จะนอนกลางคืนเยอะมาก แต่ยังรู้สึกขี้เกียจ อยากงีบหลับทังวัน นอนเท่าไรก็ไม่พอ อาการเหล่านี้คือความผิดปกติที่ต้องตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการนอนเพื่อหาสาเหตุของอาการง่วงผิดปกติโดยเครื่อง Sleep Lab ซึ่งอาจจะเกิดจากสาเหตุทางสมอง (Central Origin of Hyper somnolence) อันได้แก่โรครมหลับ โรคนอนมากผิดปกติไม่ทราบสาเหตุ โรคหยุดหายใจขณะหลับ
3. โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานกว่า 40 นาทีส่งผลอันตรายต่อดวงตา หากตาล้าควรหยุดพักสายตาทุกๆ 20 นาที กะพริบตาให้บ่อยขึ้น ปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม หากสายตามีปัญหาควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเลสิกไร้ใบมีดแบบแผลเล็ก หรือRELEX ที่ช่วยตอบโจทย์ในการรักษาผู้มีปัญหาทางสายตาได้อย่างดี
4. โรคข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย
พบมากในสาวที่สวมส้นสูงตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีน้ำหนักเกิน หากปล่อยให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณบั้นเอวหรือหลังเป็นเวลานานอาจทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมหรือเคลื่อนไปทับเส้นประสาทได้ ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง ข้อสะโพก และข้อเข่าว่ามีความผิดปกติที่จุดไหน
อ้วนลงพุง- ท้องผูก- โรคกระดูกพรุน ภัยที่ผู้หญิงควรรู้
5. อ้วนลงพุงความเครียดไขมันส่วนเกินริ้วรอย
ต่างเป็นศัตรูตัวร้ายของสาวๆ โดยเฉพาะไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนังมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญออกไปหมด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัดทั้ง Cool sculpting เครื่องสลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยความเย็นและ Exiles Elite เครื่องสลายไขมันเฉพาะส่วนพร้อมยกกระชับผิวด้วยพลังงานความร้อน เหมาะกับผู้หญิง คุณแม่หลังคลอดบุตร หรือผู้ชายที่ถึงแม้จะออกกำลังกายแล้วซิกซ์แพ็คขึ้นไม่ชัดเจน
6. อาการท้องผูก
เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้หญิง เพราะฮอร์โมนเพศและการทำงานของระบบทางเดินอาหาร หากพบว่าถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อุจจาระแข็งมีเลือดปน นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนควรพบแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทและการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารเพื่อวินิจฉัยโรค
7.ลมชักแฝง
เกิดได้ตลอดชีวิต ทุกเพศทุกกวัย และมีหลายอาการ ไม่จำเป็นต้องชักเกร็งกระตุกเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าภาวะผิดปกติของกระแสไฟฟ้าในสมองในส่วนใดและรุ่นแรงแค่ไหน บ้างก็มีอาการวูบ เบลอ จำอะไรไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจกระทบประสิทธิภาพความทรงจำและสมองส่วนอื่นๆ สามารถตรวจด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง EEG จะช่วยหาจุดกำเนิดไฟฟ้าส่วนที่ผิดปกติ
8. โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
หรือ Stroke โรคที่คร่าชีวิตคนเป็นอันดับต้นๆ หากพบอาการชาครึ่งซีก หน้าหรือปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ตาข้างใดข้างหนึ่งพร่ามัวหรือมองไม่เห็น ปวดศีรษะเฉียบพลันแบบไม่มีสาเหตุ ควรรีบมาพบแพทย์ภายใน 3 โมง เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันที
9. ข้อสะโพกเสื่อมก่อนวัย
ปวดขาหนีบ เจ็บแปลบที่ข้อสะโพกขณะเดินหรือวิ่งสามารถพบได้ในคนหนุ่มสาวอายุน้อย หากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น แต่ถ้ารู้ตัวและรักษาได้เร็วด้วยเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแบบไม่ตัดกล้ามเนื้อก็จะช่วยได้
10. โรคกระดูกพรุน
กระดูกเปราะบางแม้เพียงหกล้มก็หักได้ง่าย โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือนมวลกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกทุกปี ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง รับประทานแคลเซียม Calcium L-Threonate เพื่อเสริมสร้างหนาแน่น สร้างความแข็งแรงให้กระดูกและช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูกหรือแก้ปัญหาด้วยเทคนิคผ่าตัดเชื่อมกระดูกหักแบบแผลเล็ก ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ กระดูกติดดีฟื้นตัวเร็ว
เช็กโรคภายในของผู้หญิง
โรคภายในของผู้หญิงที่พบบ่อยมาก ได้แก่
- โรคตกขาว
- เลือดออกผิดปกติ
- ประจำเดือนมาไม่ตรงหรือมาน้อย
- ปวดประจำเดือน
- ปวดท้องน้อย
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
มีผลมาจากผู้หญิงสมัยนี้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป คือ แต่งงานช้าลง มีลูกตอนอายุมาก ทำให้รอบประจำเดือนมีมากขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่อายุ 15 – 16 ปี ก็ตั้งท้องแล้ว ทำให้รังไข่มีโอกาสได้หยุดทำงาน ยิ่งในรายที่มีลูกหัวปีท้ายปี รังไข่ก็แทบจะไม่ได้ทำงานเลย เนื่องจากโรคเหล่านี้เกี่ยวพันกับการทำงานของรังไข่นั่นเอง
“โรคตกขาวที่เป็นกันมาก หมายถึง การมีมูกออกมาจากช่องคลอด ปกติจะมีอยู่แล้ว เพราะเป็นน้ำหล่อลื่น แต่หากเกิดอักเสบจากการติดเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อพยาธิ ซึ่งไม่ถือว่าน่ากลัว แต่น่ารำคาญ เช่น ทำให้คัน มีกลิ่น มีมูกเยอะเกินไป อะไรก็ตามที่เคยเป็นปกติของชีวิตแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็ถือว่าผิดปกติ อย่างตกขาวที่มีอาการคัน มีกลิ่น หรือมีมูกเยอะเกินไปถือว่าผิดปกติแล้ว ซึ่งควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่อไป”
เช็กอาการ ภาวะผิดปกติโรคภายใน
ภาวะผิดปกติของการมีประจำเดือน
อาการ: ปวดประจำเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย ประจำเดือนมามากเกินกว่า 7 วันหรือน้อยเกินไป ประจำเดือนขาดทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ สังเกตได้จากการมีลิ่มเลือดปนออกมากับประจำเดือนมากผิดปกติ ระยะห่างของประจำเดือนน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน ประจำเดือนหายไป 3-6 เดือน เป็นต้น
สาเหตุ: สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากระดับฮอร์โมนในร่างกายช่วงนั้นผิดปกติ เช่น อาจจะเกิดจากความเครียด อาหารการกิน อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก อดอาหาร เพราะการรับประทานอาหารเพิ่มหรือลดลงเร็วผิดปกติจะทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน การกินยาคุมกำเนิดซึ่งก็จะส่งผลโดยตรงคือการเข้าไปกดการทำงานของรังไข่ หากมีอาการมากกว่านั้น เช่น ปวดท้องมากผิดปกติ คลำเจอก้อน อาจเกิดจากเนื้องอก ซีสต์ มะเร็ง เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ หรือมีพังผืดที่อุ้งเชิงกราน ก็ต้องได้รับการรักษา
การรักษา: พบแพทย์เพื่อตรวจภายในหรืออัลตร้าซาวด์หน้าท้องหรือช่องคลอด หากพบความผิดปกติที่น่าสงสัย อาจมีการตรวจชิ้นเนื้อเพิ่ม เพื่อการวินิจฉัยและทำรักษาที่ตรงจุดต่อไป
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
อาการ: ปวดประจำเดือนผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งประจำเดือนมามากผิดปกติ มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเป็นประจำ บางรายอาจมีอาการเจ็บช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และมีอาการปวดต่อเนื่องไปอีก 1-2 ชั่วโมง และอาจมีอาการปัสสาวะหรือถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
สาเหตุ: เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตผิดตำแหน่งที่ควรจะเป็น เกิดขึ้นภายนอกมดลูก เช่น ไปเจริญที่ผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก เยื่อบุช่องท้อง ลำไส้ โดยเฉพาะที่มดลูกและรังไข่ ซึ่งอาจเกิดจากการย้อนกลับของเลือดประจำเดือนเข้าสู่อุ้งเชิงกราน และบางรายอาจมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานจนทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อย ซึ่งเป็นที่มาของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้
การรักษา: พบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ด้วยการตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ อาจมีการให้ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนในการรักษา หรือรวมกับการผ่าตัด ทางที่ดีไม่ควรปล่อยไว้เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อาจสร้างปัญหาอื่นๆ ที่ร้ายแรงตามมาได้
เนื้องอกมดลูก
อาการ: มีอาการตกขาวมากผิดปกติและมีติดต่อกันหลายวัน รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย บางคนอาจปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อย และบางรายอาจท้องผูกร่วมด้วย ถ้าเนื้องอกก้อนค่อนข้างใหญ่จะสามารถคลำเจอก้อนได้ทางหน้าท้องได้เลย
สาเหตุ: เนื่องจากเซลล์กล้ามเนื้อบางตำแหน่ง มีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตจนกลายเป็นก้อนเนื้อแทรกอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อร้าย บางรายอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด
การรักษา: แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจภายในหรืออัลตร้าซาวด์ เพื่อทำการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดต่อไป ขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนของเนื้องอกในบริเวณที่พบ
การอักเสบของช่องคลอด
อาการ: ส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นจากอาการตกขาวมากผิดปกติ มีสีแปลกๆ ที่อาจปนกับเลือด มีกลิ่นเหม็นร่วมกับมีอาการคัน และบางคนอาจมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด
สาเหตุ: อาจเกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด ซึ่งเกิดจากความอับชื้น ลักษณะเช่นนี้จะเป็นตกขาวที่คล้ายกับแป้ง และมีอาการคันบริเวณช่องคลอด แต่ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สังเกตง่ายๆ จากกลิ่นเหม็นคาวของตกขาว หรือมีกลิ่นทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในบางรายอาจเกิดจากการสวนล้างช่องคลอด การใช้แผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยแล้วมีการอับชื้น การสวมใส่กระโปรงหรือกางเกงที่รัดรูปจนเกินไป หรือแม้แต่การทานยาแก้อักเสบบ่อยๆ ก็ทำให้เกิดอาการตกขาวผิดปกติได้
การรักษา : ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจภายใน และนำตกขาวที่มีอาการผิดปกตินั้นไปตรวจหาสาเหตุ หากใส่แผ่นอนามัยหรือผ้าอนามัยควรเปลี่ยนทุก 3-4 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น หากประจำเดือนมามาก เพื่อสุขอนามัยที่ดีและเลี่ยงการอับชื้น เลี่ยงการสวมกระโปรงหรือกางเกงที่รัดรูปจนเกินไป และไม่ควรกินยาแก้อักเสบบ่อยๆ เป็นต้น
ผู้หญิงควรรู้! ใช้ชีวิตให้ห่างจากโรค
- ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารทาร์และนิโคตินจะเข้าไปในกระแสเลือด
- รักษาสุขอนามัยอย่างพอดี
- การทานอาหารที่มีประโยชน์ และครบทั้ง 5 หมู่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หักโหมเกินไป
- การตรวจสุขภาพ และตรวจหาความเสี่ยงเกิดโรคเป็นประจำทุกปี
- ไม่เปลี่ยนคู่นอน
- ไม่ใช้แผ่นอนามัยแบบแผ่น โดยเฉพาะชนิดมีน้ำหอม เพราะแผ่นอนามัยจะดูดซึมความชื้นไปเก็บสะสม แต่อากาศไม่ผ่าน ทำให้หมักหมมเชื้อโรคที่เจริญเติบโต เช่น เชื้อรา ทำให้เป็นเชื้อรากันมาก ช่วงมีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยให้บ่อย อย่างน้อยทุก 3 ชั่วโมง
- เมื่อมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
ดูแลสุขภาพใจคุณผู้หญิง
สุขภาพใจที่ดีสำคัญไม่แพ้สุขภาพกายเพราะหากเครียดมากเกินไปหรือจิตใจไม่ดีย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายยิ่งในปัจจุบันที่ผู้หญิงมีหลายบทบาทในชีวิตการดูแลสุขภาพใจจึงสำคัญโดยมีเทคนิคง่าย ๆ คือ
- คิดบวก มองโลกในแง่ดี ช่วยให้จัดการทุกอุปสรรคและปัญหาได้อย่างเหมาะสม
- เลิกเปรียบเทียบ เพราะทุกคนมีชีวิตแตกต่างกัน ความสุขในชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน จึงไม่ควรเปรียบเทียบกับใคร มีสติและใช้โซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสม
- สื่อสารให้ชัดเจน ในยุคนี้การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่ากับคนในบ้านหรือนอกบ้าน โดยเฉพาะการสื่อสารภายในครอบครัวสำคัญมาก ควรพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง อย่ามองข้าม อย่าคิดแทน เปิดใจคุยเพื่อให้เข้าใจกัน
- มีเพื่อนที่ดีพร้อมรับฟัง ปัญหาบางเรื่องที่ไม่สามารถระบายกับคนในครอบครัวได้ การมีเพื่อนที่ดี ไว้ใจได้ ไม่นำความลับไปบอกต่อ และพร้อมรับฟังเสมอ ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้
- พักผ่อนด้วยงานอดิเรกที่ชอบ ในหนึ่งวันควรแบ่งเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและไม่ผิดกฎหมาย
อ้างอิง: โรงพยาบาลเปาโล ,โรงพยาบาลกรุงเทพ , บ้านรยา ,กรมสุขภาพจิต