'เน็ตป๊าม้า' ติดอาวุธพ่อแม่ ปั้นเด็กไทย สู่ทรัพยากรคุณภาพ
สสส.-ศิริราช สานพลังเดินหน้าโครงการเน็ตป๊าม้า ติดอาวุธผู้ปกครอง ปั้น 'เด็กไทย' เป็นทรัพยากรคุณภาพของประเทศ เลือก 41 ต้นแบบนำร่อง 21 จังหวัด ก่อนขยายผลต่อเนื่องเฟส 3
เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2567 ที่ รร.อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จัดประชุมวิชาการเน็ตป๊าม้า ครั้งที่ 1 เพื่อถอดปัจจัยความสำเร็จในการจัดตั้งห้องเรียนเน็ตป๊าม้า
น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและด้อยคุณภาพเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะประเทศก้าวสู่สังคมสูงวัย จำเป็นต้องมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลิตภาพแก่ระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม จากการทำงานของ สสส. ในระดับพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ พบว่า ครอบครัวส่วนมากต้องการความรู้และทักษะเลี้ยงดูเด็กแต่ละช่วงวัยให้เหมาะกับโลกยุคใหม่ แต่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง
ในปี 2562 สสส. ร่วมกับสาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ดำเนินโครงการ “พัฒนาโปรแกรมสอนเทคนิคการปรับพฤติกรรมเด็กสำหรับผู้ปกครองผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (NetPAMA)” ระบบเรียนรู้ด้วยตนเองของพ่อแม่ผ่านเว็บไซต์ www.netpama.com เปิดตัวไปเมื่อ ส.ค. 2564 มีผู้ปกครองสมัครและเข้าเรียนถึง 10,285 คน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 'สื่อสารเชิงบวก' วัคซีนคุ้มใจ ในวันที่ 'ไม่ไหว'
- 'จิตวิทยาเชิงบวก' โซลูชันเติมความสตรอง ในวันที่ใจไม่ไหว
- "เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน" เปลี่ยนสังคมเหลื่อมล้ำ สู่สังคมที่เป็นธรรม
ผลวิจัยติดตามระยะยาวพบว่าพ่อแม่นำความรู้และเทคนิคต่าง ๆ ไปปรับใช้เลี้ยงลูกอย่างได้ผลมากกว่าพ่อแม่กลุ่มควบคุม (ไม่ได้เข้าเรียน) อย่างไรก็ตาม การเข้าเรียนด้วยตัวเองผ่านระบบออนไลน์ยังทำได้ยากสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองกลุ่มที่มีรายได้น้อย ไม่สะดวกใช้อุปกรณ์ไอทีและอินเตอร์เน็ต ประกอบกับสถิติชี้ว่าเด็กไทยกว่า 70% อยู่ในครัวเรือนยากจน อยู่ในชุมชนตามภูมิภาคต่าง ๆ เป็นที่มาของการพัฒนาห้องเรียนเน็ตป๊าม้าในปี 2566 - 2567 รับสมัครผู้สนใจฝึกอบรมหลักสูตรเน็ตป๊าม้า และฝึกทักษะการจัดห้องเรียนเน็ตป๊าม้าระดับชุมชน
ตลอดปี 2566 มีผู้ผ่านการฝึกอบรม 281 คน และผ่านการคัดเลือกให้ทดลองเปิดห้องเรียนเน็ตป๊าม้าในชุมชน 41 คน 41 ห้องเรียน จาก 21 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะวิจัยวัดประสิทธิผลของกระบวนกร วิจัยติดตามกลุ่มผู้ปกครองที่ผ่านการอบรม วัดผลการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของบุตรหลาน เสนอต่อสังคมต่อไป
"สสส. และสาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น มุ่งหวังให้เกิดนิเวศน์การเรียนรู้สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองและครู เพื่อการเลี้ยงดูเด็กเชิงบวก ที่มีแหล่งเรียนรู้ครบทั้งห้องเรียนออนไลน์ ห้องเรียนในชุมชน และการสื่อสารเผยแพร่ความรู้ที่น่าสนใจผ่านเพจ Netpama อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญของทุกครอบครัวให้สามารถเลี้ยงดูเด็กในโลกยุคใหม่ได้อย่างเหมาะสม” น.ส.ณัฐยา กล่าว
พลาศิณี ศรีสองเมือง ครูพัฒนาชีวิต โรงเรียนเพลินพัฒนา หนึ่งในนกระบวนกร ที่ได้รับทุน ร่วมแชร์มุมมองว่า โรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนทางเลือกใน กทม. กลุ่มเป้าหมายในโครงการ คือ ผู้ปกครอง ของนักเรียน ชั้น ป.4-6 จำนวน 14 ครอบครัว ความท้าทาย คือ ทำอย่างไรให้ 14 คนอยู่กับเราตั้งแต่ต้นจนจบการอบรมทั้ง 7 ครั้ง เพราะทุกบทเป็นเนื้อหาสำคัญและไม่อยากให้พลาด
“ขณะที่ ผู้ปกครอง เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ และเป็นความท้าทาย เพราะบริบทของผู้ปกครอง ค่อนข้างมีการศึกษาสูงและมีองค์ความรู้ ปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ผู้เป็นกระบวนกรต้องพัฒนาตนเองแบบไม่สิ้นสุด เพื่อสามารถตอบคำถามของผู้ปกครองได้ ใช้กระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการไหลเวียนอย่างทั่วถึง เป็นกันเอง ให้คุณค่าบรรยากาศที่ปลอดภัย และการจัดเตรียมสื่อ”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะจบห้องเรียนไปแล้ว แต่มองว่า หลักสูตรเน็ตป๊าม้าเป็นความรู้ที่น่าศึกษาตลอดเวลา เราฉวยอะไรได้อีกมากมายในหลักสูตร และหากใครที่อยากจะสร้างพื้นที่ขยายผลในหน่วยงานของตนเอง อาจจะตั้งหลักวางแผนการทำงานเพื่อประสิทธิที่ดีและยั่งยืนมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการก่อนเกิดห้องเรียน เตรียมตัว อ่านคู่มือ หนังสือ เข้าดูเว็บไซต์ ทบทวนเอกสารที่ผ่านการอบรมเพื่อให้ได้ประเด็นแม่นยำชัดเจน ทบทวนสื่อสไลด์ให้สอดคล้องกับผู้เรียน เป็นกระบวนการให้เกิดความยั่งยืนของผู้เรียนรู้
ด้าน ศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล หัวหน้าโครงการพัฒนาและขยายห้องเรียนเน็ตป๊าม้า กล่าวว่า การดำเนินโครงการเน็ตป๊าม้าระยะแรก เป็นการพัฒนาการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ให้ผู้ปกครองในพื้นที่ห่างไกล มีความเข้าใจ สามารถปรับพฤติกรรมเด็ก มีทักษะพื้นฐานในการสื่อสาร มีเทคนิคในการชื่นชม ให้รางวัล ลงโทษ ให้คะแนน อย่างไรก็ตาม หลังจบโครงการพบว่า ผู้ปกครองพื้นที่ห่างไกลแม้มีสมาร์ทโฟน แต่เป็นแบบสเป็คต่ำ ใช้อินเตอร์เน็ตแบบเติมเงิน ทำให้เรียนยังไม่จบ อินเตอร์เน็ตก็หมด การเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงยังมีความเหลื่อมล้ำ
ในระยะที่ 2 จึงขยายผลทำเน็ตป๊าม้าเดลิเวอรี่ คัดเลือกและอบรมกระบวนกร นำสื่อที่เราสร้างไปทำงานร่วมกับผู้ปกครองในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ทุนไปทั้งหมด 41 คน ดำเนินการเปิดห้องเรียนเน็ตป๊าม้า 41 แห่ง ใน 21 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาค ระหว่างจัดกิจกรรมมีจิตแพทย์เด็ก รวมถึงทีมจากส่วนกลางคอยให้การช่วยเหลือ หลังจบโครงการ มีการวิจัยหาปัจจัยความสำเร็จ และเลือกต้นแบบที่โดดเด่น 3 ด้าน
1. ด้านทักษะ จัดการเก่ง มีลูกล่อลูกชน เอาผู้ปกครองอยู่
2. สามารถขยายผลจัดกิจกรรมในครั้งต่อไปได้
3. การทำงานเป็นทีม เพื่อเข้ารับรางวัล PAMA-FA Award
“การขยายผลระยะที่ 3 จะโฟกัสที่พื้นที่ต้นแบบ เจาะลึกไปยังนักพัฒนาชุมชน ที่ทำงานเป็นวิทยากรระดับอำเภอ ระดับจังหวัดอยู่แล้ว และอยู่ในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คัดเลือกนักพัฒนาชุมชนที่มีความสนใจครอบครัว แก้ไขปัญหาเด็ก ๆ ให้เป็นจังหวัดนำร่อง ที่จะทำงานอบรมทั้งจังหวัด ไม่ใช่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งของจังหวัดเท่านั้น ขณะนี้กำหนดจังหวัดดำเนินการไว้เบื้องต้นแล้ว ซึ่งจะเชื่อมกับโครงการ แฟมิลี่ไลน์ ที่ทำร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในระยะที่ 3 ด้วย” ศ.นพ.ชาญวิทย์ กล่าว