แยกให้ออก!! อาการแบบไหน? หลงลืมตามวัย หรือ ‘ความจำเสื่อม’
เคยหรือไม่ กำลังจะพูด หรือเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วก็จำไม่ได้ พยายามนึกเรื่องราวอย่างไรก็นึกไม่ออก ทั้งที่กำลังจะพูด หรือเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน แล้วจะแยกอย่างไร? ว่า อาการหลงลืมเป็นไปตามวัย หรือ เสี่ยงภาวะความจำเสื่อม กันแน่!!
KEY
POINTS
- เคยหรือไม่ กำลังจะพูด หรือเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วก็จำไม่ได้ พยายามนึกเรื่องราวอย่างไรก็นึกไม่ออก แล้วจะแยกอย่างไร? ว่า อาการหลงลืมเป็นไปตามวัย หรือ เสี่ยงภาวะความจำเสื่อม
- 'ความจำเสื่อม' เกิดจากความผิดปกติของเซลล์สมองที่ถูกทำลายด้วยหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเครียด การทำงาน การนอนหลับพักผ่อน การเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย พันธุกรรม โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
- เทคนิคและวิธีพัฒนาความจำ พยายามลดความตึงเครียด เช่น หางานอดิเรกทำในยามว่าง ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ทำทุกเรื่องด้วยสติ และรอบคอบ
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความเสื่อมของร่างกายย่อมมาเยี่ยมเยือน โดยเฉพาะคนทำงานที่ใช้ร่างกายอย่างหนัก พักผ่อนน้อย มีภาวะเครียดสะสม อาจส่งผลให้อวัยวะสำคัญอย่างสมองเกิดภาวะสมองล้า ภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ โรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดหรือเลือดออก ซึ่งภาวะเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิด ‘ความจำเสื่อม’ ได้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ในระยะยาว ฉะนั้นควรใส่ใจดูแลบำรุงสมองตั้งแต่วันนี้ก่อนสายเกินแก้
ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามสังคมสูงวัยที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นช่วงวัยเกษียณ อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยในแต่ละปีจะมีคนอายุ 60% ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม 1% และเมื่ออายุมากขึ้น สัดส่วนผู้ป่วยสมองเสื่อมจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุถึง 80 ปี จะมีผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 20%
โครงการอนามัยโลก ประมาณการว่าในปี 2593 หรือ 28 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมกว่า 2,400,000 คน เลยทีเดียว ดังนั้น เราควรป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อย คือดูแลสุขภาพ ป้องกันไม่ให้เป็นโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วน และความดันโลหิตสูง เพราะโรคเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เช็ก 10 สัญญาณเตือน 'อัลไซเมอร์ 'เนื่องใน 'วันอัลไซเมอร์โลก'
ระวัง ใช้โซเชียลมากเกินไปอาจ “สมองเสื่อม” แก้ได้ด้วย “โซเชียลดีท็อกซ์”
รู้จักสมอง บันทึกความจำอย่างไร?
ผศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ ภาควิชาอายุรศาสตร์ Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า สมองเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญยิ่งของเรา ว่ากันว่าการทำงานของสมองนั้นมีความสลับซับซ้อนและสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์เสียอีก และหน้าที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือการบันทึกความจำ
ความจำ เริ่มต้นด้วยกระบวนการที่สมองรับรู้ข้อมูลจากสิ่งเร้าทั้งหลาย และกลั่นกรองส่วนสำคัญเพื่อเก็บบันทึกในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องและสามารถดึงเอาสิ่งที่บันทึกไว้ออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ ซึ่งความทรงจำแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ความจำทันที(immediate memory) หมายถึง ความจำที่เกิดทันทีที่มีการรับรู้จากสิ่งเร้า โดยยังไม่มีการทบทวนหรือใส่ใจ ทำให้ลืมได้ง่ายภายในไม่กี่วินาที
2. ความจำระยะสั้น(short-term memory) หมายถึง ความจำซึ่งเราตั้งใจจดจำไว้ชั่วคราวไม่กี่นาที และถ้าไม่มีการทบทวนความทรงจำก็จะลืมไปได้เช่นกัน
3. ความจำระยะยาว (long-term memory) หมายถึง ความจำที่เราทบทวนอยู่เสมอ ทำให้เปลี่ยนจากความจำระยะสั้นมาเป็นความจำระยะยาว ซึ่งอาจอยู่ได้นานเป็นปี หรือตลอดชีวิตก็ได้
เมื่ออายุมากขึ้นสมองก็จะเริ่มแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น เช่น อาการหลงลืมเป็นครั้งคราว ซึ่งเราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่ากระบวนการความจำในร่างกายมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียความสามารถในการปฏิบัติงานต่าง ๆ รวมถึงการช่วยเหลือตนเอง
ใช้ชีวิตแบบไหน เสี่ยง ‘ความจำเสื่อม’
‘ภาวะความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์’ เกิดขึ้นกับคนไทย และยังเป็นปัญหาสุขภาพที่คุกคามคนไทยมานานแล้ว ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์สมองที่ถูกทำลายด้วยหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิต การทำงาน การนอนหลับพักผ่อน การเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย พันธุกรรม อุบัติเหตุทางสมอง โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
โรคนี้มีระยะเวลาในการก่อโรคนาน 15 – 20 ปี กว่าจะแสดงออกถึงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน เดิมพบว่าคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ 10% ส่วนคนที่อายุ 85 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ 40 – 50%
มีการศึกษาพบว่าโรคความจำเสื่อม จะเริ่มมีอาการเริ่มต้น คือความจำถดถอยก่อน ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นการยากในการวินิจฉัย จากภาวะความจำถดถอยตามอายุ จากภาวะความจำถดถอยที่เป็นการเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ จากการศึกษาจะเห็นมีสถิติของผู้ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ทั่วโลกถึงเกือบ 50 ล้านคน และในเมืองไทยคาดว่าจะมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลา ใน 10 ปีข้างหน้า
พฤติกรรม สาเหตุภาวะความจำเสื่อมที่พบบ่อย
- ความเครียด วิตกกังวล หรือ ซึมเศร้า จะบั่นทอน working memory (ความจำเพื่อนำไปใช้ หรือ ความจำที่นำมาใช้งาน หรือ ความสามารถในการเก็บไปประมวลผล ด้วยการดึงข้อมูลในสมองมาใช้ตามสถานการณ์ได้ทันทีโดยอัตโนมัติ เป็นการทำงานของสมองส่วนหน้า เช่น คิดค่าอาหาร เข้าใจภาษา การทำอาหาร การเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ การตัดสินใจแทนกลุ่ม เป็นต้น)
- การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง
- นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย
- ความเสื่อมตามวัย ขี้ลืม นึกนาน เรียนรู้ช้า
- โรคอัลไซเมอร์ ลืมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทำซ้ำๆถามซ้ำๆเพราะจำไม่ได้
- โรคหลอดเลือดสมองทั้งขาดเลือดและเลือดออก
- ภาวะขาดวิตามิน บี 12
- สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ส่วนแอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี12 ทั้งนี้การดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นระยะเวลานานหรือดื่มในปริมาณมากอาจทำลายสมองส่วนต่างๆได้
- ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีภาวะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดฝอยในสมองตีบ ส่งผลให้เซลล์สมองตาย
- ฮอร์โมนผิดปกติ โดยเฉพาะฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีระดับต่ำกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากเซลล์สมองถูกทำลาย ความเสียหายนี้ขัดขวางความสามารถของเซลล์สมองในการสื่อสารระหว่างกัน เมื่อเซลล์สมองไม่สามารถสื่อสารได้ตามปกติ ความคิด พฤติกรรม และความรู้สึกก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
สมองมีหลายส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละส่วนมีหน้าที่ในการทำงานที่แตกต่างกัน (เช่น ความจำ การตัดสินใจ และการเคลื่อนไหว) เมื่อเซลล์บริเวณใดบริเวณหนึ่งได้รับความเสียหาย บริเวณนั้นจะไม่สามารถทำงานตามปกติได้
ภาวะสมองเสื่อมชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหาย ตัวอย่างเช่น ในโรคอัลไซเมอร์ มีระดับโปรตีนบางชนิดสูงทั้งภายในและภายนอกเซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองยากที่จะสื่อสารกันในแต่ละเซลล์
บริเวณสมองที่เรียกว่าฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และความจำในสมอง เซลล์สมองในบริเวณนี้มักจะได้รับความเสียหายเป็นอันดับแรกๆ การสูญเสียความทรงจำจึงมักเป็นอาการเริ่มแรกของโรคอัลไซเมอร์
สังเกตอาการเบื้องต้นโรคความจำเสื่อมคนอายุน้อย
- ลืมเรื่องง่ายๆ เช่น วัน เดือน ปี สถานที่ที่เพิ่งไปมา ลืมนัดสำคัญหรือบางคนถึงขั้นลืมวันเกิดตัวเอง มักจะต้องใช้ตัวช่วย เช่น สมาร์ทโฟน หรือสมุดโน้ตมาช่วยจำ
- บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น พูดไม่ได้ใจความ บางครั้งพูดติดๆ ขัดๆ หรือพูดซ้ำๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับคนรอบข้างถดถอยลง
- การตัดสินใจแย่ลง การตัดสินใจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ
- มักเกิดความผิดพลาดในการกะระยะ การบอกสี บอกความแตกต่าง ซึ่งเป็นปัญหามากถ้าผู้ป่วยต้องขับรถ
- ภาวะเครียด ซึมเศร้า แยกตัวออกจากสังคม ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
- ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย ย้ำคิดย้ำทำ
สังเกตความผิดปกติโรคความจำเสื่อมในสูงวัย
- อาการหลงลืม เช่น หลงลืมสิ่งของ ลืมนัด จำเหตุการณ์หรือคำพูดที่เพิ่งผ่านมาไม่ได้ ลืมสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ลืมวันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมา
- สับสนเรื่องเวลา สถานที่ ฤดูกาล กลับบ้านไม่ถูก หลงทิศทาง หรือไม่รู้ว่าจะไปสถานที่นั้นๆ ได้อย่างไร
- จำบุคคลที่เคยรู้จัก เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวไม่ได้ คิดว่าเป็นคนแปลกหน้า
- มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร หรือเรียกสิ่งของไม่ถูก พูดคำหรือประโยคซ้ำๆ
- ไม่สนใจในสิ่งที่เคยสนใจ เช่น กิจกรรมประจำวัน งานอดิเรก
- มีปัญหาเรื่องการนับหรือทอนเงิน การใช้โทรศัพท์ การดูนาฬิกา
- มีพฤติกรรมที่อาจเกิดปัญหายุ่งยาก เช่น ออกนอกบ้านเวลากลางคืน พฤติกรรมก้าวร้าว
- ไม่สนใจดูแลความสะอาดของตัวเอง เช่น แปรงฟันไม่เป็น อาบน้ำไม่เป็น
การนอนน้อย จะทำให้ความจำเสื่อม
นอกจากนั้น การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมองและร่างกาย ใช้ช่วงเวลาขณะหลับในการบำรุงซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีในการทำงาน ดังนั้น การนอนหลับที่เพียงพอจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดี มนุษย์ใช้เวลานอนหลับ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด ความต้องการในการนอนหลับของแต่ละคนไม่เท่ากัน
คนส่วนใหญ่ต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมง บางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการง่วงนอน ทุกคนมีโอกาสเกิดการนอนไม่หลับขึ้นได้ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต และร้อยละ 10 พบปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง ซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยในการนอนหลับ โดยพบเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ที่ทำงานเป็นกะผลัดเวร เกิดปัญหานอนไม่หลับง่ายกว่างานอื่นค่ะ
“การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้สมองไม่ได้พักผ่อนและมีโอกาสซ่อมแซมตัวเองน้อย ซึ่งผลกระทบแบบไม่รุนแรง คือมีอาการเบลอ มึนงง แต่ถ้าเป็นหนักอาจกระเทือนถึงความจำ”
ล่าสุด ในการประชุมประจำปีของสมาคมระบบประสาทวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า หากช่วงเวลาในการนอนหลับสนิทหายไปแค่ 2 ชั่วโมง ก็แทบจะกู้ความจำกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ตามกระบวนการทำงานของระบบจดจำ สมองจะซึมซับเรื่องราว เหตุการณ์ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเรียกขึ้นมาประมวลซ้ำๆ ในระหว่างที่เรานอนหลับ เสมือนช่วงเวลาในการลงบันทึก ส่งผลให้เกิดเป็นความจำระยะสั้น ก่อนที่จะพัฒนาเป็นความจำระยะยาว
แต่เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ สมองไม่ได้พัก กระบวนการจดจำดังกว่าวจึงถูกขัดขวาง มิหนำซ้ำหากปล่อยให้นอนหลับไม่พอบ่อยๆ สมองจะลืมสิ่งที่เคยทำหรือสิ่งที่คิดว่ากำลังจะทำ ซึ่งแม้แต่การนอนให้มากขึ้นในวันถัดไปก็ไม่สามารถนำความจำส่วนนั้นกลับมา จนกระทั่งอาจถึงขั้นจดจำการทำอะไรง่ายๆ ไม่ได้ ไม่ต่างจากอาการของโรคอัลไซเมอร์
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เริ่มกู้สมอง กู้ไฟล์ที่ถูกลบ โดยการฝึกคลายเครียดหรือทำสมาธิก่อนนอนเพื่อให้หลับสนิทยิ่งขึ้น และจัดเวลาในการนอนให้เหมาะสม เพียงพอในแต่ละวัน เพียงเท่านี้เราก็จะมีความจำที่แม่นยำกันแล้ว
การนอนไม่พอส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
ผลกระทบขึ้นอยู่กับปริมาณและจำนวนที่นอนไม่หลับ โดยพบว่า
- คุณภาพชีวิตลดลง
- อัตราของการขาดงานเพิ่มขึ้น
- ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
- มีการใช้บริการทางการแพทย์สูงขึ้น เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา รู้สึกไม่สดชื่นร่าเริง หงุดหงิด ขาดสมาธิ
- ความสามารถในการดำเนินชีวิตลดลง
- ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย มีรายงานว่าถ้าขับรถยนต์ โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจะเพิ่มสูงขึ้น 2.5 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการคล้ายสมองเสื่อม
1. รับประทานยาหลาย ๆ ชนิดพร้อมกัน และยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อสมอง
2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
3. ได้รับอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ
4. มีอาการเครียดเป็นประจำ และมีอาการซึมเศร้า
5. มีอาการของโรคต่อมไธรอยด์
6. เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
หลีกเลี่ยงอาการสมองเสื่อมทำได้
1.งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด
2.ระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรรับประทานยาสุ่มสี่สุ่มห้า ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้งและควรนำยาที่ท่านรับประทานเป็นประจำไปให้แพทย์ดูด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่งยาซ้ำซ้อน
3.ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ
4.สำหรับผู้สูงอายุที่เดินลำบากควรมีคนดูแล เช่น เวลาเข้าห้องน้ำควรมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะอาจเกิดการหกล้มในห้องน้ำได้
5.เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรหมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และไม่ควรลืมเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเบาหวานและโรคไขมันในเลือดสูง
6.หมั่นไปตรวจความดันเลือดสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด หากพบว่าเป็นความดันโลหิตสูงก็ต้องปฏิบัติตนตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะมีผลกระทบต่อภาวะสมองเสื่อมได้
7.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุจะต้องระมัดระวังไม่ให้หักโหมจนเกินไป แต่เพราะแทนที่จะเกิดประโยชน์อาจทำให้เกิดโทษได้
8.หากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียด เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หมั่นเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมผู้สูงอายุ และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตามสมควร
9.เมื่อสังเกตว่าตนเองเริ่มมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ มากผิดปกติ หรือมีอาการบ่งชี้อื่น ๆ ที่น่าสงสัยก็ควรรีบไปพบประสาทแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุทันที
เทคนิคและวิธีพัฒนาความจำ
1. พยายามตั้งสมาธิเมื่อปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ
2. พยายามนึกสร้างภาพในใจเมื่อต้องจดจำสิ่งหนึ่งสิ่งใด และถ้าภาพประทับใจก็ยิ่งทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น
3. เลือกจำเฉพาะข้อมูลที่สำคัญเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
4. ควรมีสมุดบันทึกพกติดตัวตลอดเวลา เพื่อใช้จดข้อมูลต่าง ๆ กันลืม
5. พยายามจัดหมวดหมู่สิ่งของไว้เป็นพวก ๆ เก็บเป็นที่เป็นทางเพื่อความสะดวกในการใช้งานและไม่สับสน
6. ทำทุกเรื่องด้วยสติ และรอบคอบ ถ้าไม่แน่ใจก็ตรวจทานอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด
7. พยายามลดความตึงเครียด เช่น หางานอดิเรกทำในยามว่าง, ออกกำลังกาย, นั่งสมาธิ เป็นต้น
สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการหลงลืมเป็นประจำก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะอาการหลงลืมเป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุและท่านอาจไม่ได้เป็นโรคสมองเสื่อมก็ได้ ส่วนผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคสมองเสื่อม หรือสงสัยว่ากำลังจะมีอาการก็ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วนที่สุดเพื่อหาวิธีป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที
ป้องกันโรคความจำ สมองเสื่อมไม่ให้ล้า
ลดภาวะสมองล้า ป้องกันโรคความจำ จำเป็นที่จะต้องปรับวิธีการใช้ชีวิต ทั้งในด้านพฤติกรรม อาหาร จิตใจ การออกกำลังกาย รวมถึงการล้างสารพิษ ได้แก่
- ควบคุมการใช้เทคโนโลยีในเวลาที่เหมาะสม ไม่นานจนเกินไปหรือตลอดทั้งวัน ควรหยุดพักบ้างเป็นระยะ
- คิดบวก มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ไม่เครียด
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงสมอง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7 – 8 ชั่วโมง และควรนอนในเวลา 4 ทุ่มไม่เกินเที่ยงคืน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะช่วยให้สุขภาพสมองแข็งแรง
- เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และไม่ดื่มกาแฟในช่วงเย็นเพราะอาจรบกวนการนอนหลับ
- ท่องเที่ยวธรรมชาติเพื่อผ่อนคลายและได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ช่วยเติมพลังชีวิตได้ดี
อ้างอิง :โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลสมิติเวช ,โรงพยาบาลนครธน