รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'
หากเอ่ยคำว่า “โรคเบาจืด” เชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัยว่ามีโรคนี้ด้วยหรือ? เพราะทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าโรคเบา.... ขึ้นมาทุกคนจะชินกับคำว่า “โรคเบาหวาน” มากกว่า
KEY
POINTS
- โรคเบาจืดเป็นโรคที่สามารถพบได้ทุกวัย แม้พบได้น้อยมาก โดย 1 แสนคน จะพบผู้ป่วยเพียง 3-4 รายเท่านั้น แต่โรคเบาจืดเป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาด ต้องกินยาไปตลอดชีวิต
- สังเกตอาการโรคเบาจืด จะปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะครั้งละมากๆ ปัสสาวะมักไม่มีสี หรือกลิ่น กระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลีย ปากแห้ง คอแห้ง เป็นตะคริวง่าย ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืด และปวดบริเวณเอว ท้องน้อย
- หากสงสัยว่าเป็นโรคเบาจืดควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย เพราะภาวะเบาจืดอาจเป็นอาการของโรคทางสมอง โรคเลือด หรือความผิดปกติแต่กำเนิดบางอย่างได้
หากเอ่ยคำว่า “โรคเบาจืด” เชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัยว่ามีโรคนี้ด้วยหรือ? เพราะทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าโรคเบา.... ขึ้นมาทุกคนจะชินกับคำว่า “โรคเบาหวาน” มากกว่า ซึ่งโรคเบาจืดแม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อยในหมู่ของคนทั่วไป แต่ขึ้นชื่อว่าโรค ย่อมอันตรายร้ายแรงที่จะต้องระวังไม่แพ้โรคอื่นๆ
“โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus)” คือ โรคที่เกิดจากร่างกายสูญเสียการควบคุมสมดุลของน้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือสมองส่วนไฮโปธาลามัสจากสาเหตุต่างๆ เช่น การติดเชื้อ เนื้องอกต่อมใต้สมอง การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บบริเวณต่อมใต้สมอง ทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) มาควบคุมการปัสสาวะได้ตามปกติ ความผิดปกติของระบบการทำงานของไต ทำให้ไตไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
ในปัจจุบันยังไม่มีสถิติชัดเจนว่า พบผู้ป่วยโรคเบาจืดจำนวนเท่าใด ยกเว้นในกลุ่มเด็กที่สามารถพบได้เพียง 3-4 ราย ใน 1 แสนคน แต่หากเป็นโรคนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาโรค เพราะต้องกินยาตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
"โรคเบาจืด" เป็นแล้วรักษาไม่หายขาด ต้องกินยาตลอดชีวิต
นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ ประธานที่ปรึกษา สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราช ชนนี (สบยช.) ได้ให้สัมภาษณ์ ว่า โรคเบาจืดเป็นโรคที่สามารถพบได้ทุกวัย แม้พบได้น้อยมาก โดย 1 แสนคน จะพบผู้ป่วยเพียง 3-4 รายเท่านั้น แต่โรคเบาจืดเป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาด ต้องกินยาไปตลอดชีวิต
โรคเบาจืดมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติ “ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน (Vasopressin)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการขับปัสสาวะ โดยจะทำงานอยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินทำหน้าที่สั่งการให้ไตกักเก็บสารน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย และควบคุมการขับปัสสาวะให้เป็นปกติ เมื่อฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินผิดปกติ หรือผลิตน้อยกว่าความจำเป็นของร่างกายจะทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งก็คือ การเริ่มต้นของโรคเบาจืดนั่นเอง
สังเกตอาการของโรคเบาจืด
- จะปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะครั้งละมากๆ มักปัสสาวะมากกว่า 3 ลิตรต่อวัน บางรายอาจปัสสาวะมากกว่า 10 ลิตรต่อวัน
- ปัสสาวะมักไม่มีสี หรือกลิ่น เมื่อร่างกายเสียน้ำไปมาก
- ผู้ป่วยจะกระหายน้ำบ่อย กระหายน้ำตลอดเวลาแม้ว่าจะดื่มน้ำไปในปริมาณมาก
- อ่อนเพลีย ปากแห้ง คอแห้ง เนื่องจากการสูญเสียน้ำ
- หากดื่มน้ำทดแทนส่วนที่เสียไปไม่ทันหรือไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริวง่าย
- ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืด
- มีอาการสับสน มีไข้สูง
- ซึม ไม่รู้สึกตัว และช็อก หรือหมดสติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
- ปวดบริเวณเอว ท้องน้อย เนื่องจากการคั่งของปัสสาวะบริเวณท่อไต กรวยไต กระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้อวัยวะดังกล่าวโตขึ้น
“สาเหตุหลักของโรคเกิดจากร่างกายไม่สามารถหลั่งฮอร์โมนออกมาได้ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง มีผลแทรกซ้อนตามมาทำให้เกิดโรคเบาจืด และไตผิดปกติแต่กำเนิด โดยเมื่อแรกเกิดมักไม่ค่อยแสดงอาการของโรคเบาจืด แต่จะแสดงอาการเมื่ออายุประมาณ 1-3 ขวบ หรือพบในบางรายเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
รู้จักประเภทของโรคเบาจืด
โรคเบาจืดสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่
1. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Diabetes Insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส หรือต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) จนไปสั่งการให้ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินกระตุ้นให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น
โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเป็นอาการแทรกซ้อนได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- เจ็บศีรษะและอาจเกิดเนื้องอกที่สมอง
- ภาวะสมองบวม
- ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (aneurysm)
- เป็นโรคมะเร็งชนิดเซลล์เม็ดเลือดขาวผิดปกติ (Langerhans cell histiocytosis)
2. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากไตไม่ตอบสนองการสั่งการของฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และดึงเอาสารน้ำออกไปจากกระแสเลือดมากเกินไป
โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
- ภาวะแคลเซียมสูงในกระแสเลือด
- ภาวะโพแทสเซียมต่ำในกระแสเลือด
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ลิเทียม (Litium)
3. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ (Dipsogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถควบคุมความกระหายน้ำได้ และไปลดปริมาณฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินในร่างกาย อาจเกิดได้จากปัจจัยดังนี้
- การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
- การมีเนื้องอก
- การติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย
- การศัลยกรรม
4. โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์
โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (Gestational diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์
- สาเหตุของโรคเบาจืดชนิดนี้ เกิดจากรกเด็กซึ่งทำหน้าที่ส่งออกซิเจนและอาหารเลี้ยงทารกได้สร้างเอนไซม์ที่ลดปริมาณฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และไปลดการตอบสนองของไตต่อฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติโรคนี้จะหายได้เองหลังจากคลอดบุตรแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาจืด
หากไม่รีบรักษาโรคเบาจืดตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนบางประเภทได้ เช่น
- ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เพราะการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
- ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ (Electrolyte imbalance) โดยจะมีอาการหลักๆ คือ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียตลอดเวลา ปวดเมื่อยตามตัว
- นอนไม่พอ (Less sleep) เนื่องจากอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคเบาจืด
โรคเบาจืดวินิจฉัยอย่างไร ?
หากมีอาการเบื้องต้นที่สงสัยโรคเบาจืด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะถามประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจปัสสาวะ การทดสอบทางฮอร์โมน การตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองในกรณีสงสัยความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือสมองส่วนไฮโปธาลามัส
ดูแลและการป้องกันเมื่อเป็นโรคเบาจืด
วิธีการรักษาและปฏิบัติตัวที่สำคัญของผู้ที่เป็นโรคเบาจืด คือ
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ถ้าอยู่ในที่อากาศร้อนจัด ร่างกายต้องสูญเสียน้ำไปทางผิวหนังมาก
- คนไข้ที่มีอาการท้องเดิน ท้องเสีย ต้องพยายามทดแทนโดยการดื่มน้ำเปล่าให้มาก
- สังเกตว่า ตนเองปัสสาวะปกติดีหรือไม่ แล้วมีอาการเจ็บ หรือแสบขัดระหว่างปัสสาวะหรือเปล่า โดยโดยปกติคนเราจะปัสสาวะประมาณวันละ 4-8 ครั้งต่อวัน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะอาหารที่เค็มจัดจะมีเกลือมาก ร่างกายจะขับเกลือออกมาทางไตและออกมากับปัสสาวะ เป็นสาเหตุให้ร่างกายถูกดึงน้ำออกไป จึงทำให้ขาดน้ำมากขึ้น
- ใช้ยาตามแพทย์สั่งให้ครบและตรงเวลาสม่ำเสมอห้ามหยุดยาหรืองดยาไปเอง เพราะโรคนี้จำเป็นต้องใช้ยาควบคุมเสมอ
- ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม โรคเบาจืดมักเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยต้องใช้ยาฮอร์โมนทดแทนตลอดชีวิต หากสงสัยว่าอาจเป็นโรคเบาจืดควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป เนื่องจากภาวะเบาจืดอาจเป็นอาการของโรคทางสมอง โรคเลือด หรือความผิดปกติแต่กำเนิดบางอย่างได้
อ้างอิง:สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี , hdmal , โรงพยาบาลสินแพทย์