“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์ ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

ทุกคนต่างทราบดีว่า การดื่มน้ำให้เพียงพอแต่ละวันย่อมเป็นผลดีต่อร่างกาย ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? หากดื่มน้ำมากเกินไปกลับกลายเป็นผลเสียต่อร่างกาย ดื่มน้ำมากไป ก็ไม่เวิร์ค ดื่มน้อยไปก็แย่ แล้วในแต่ละวันเราต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าใด…

KEY

POINTS

  • การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก โดยผู้ชายควรดื่มน้ำไม่เกิน 3.7 ลิตรต่อวัน ผู้หญิงควรดื่มน้ำไม่เกิน 2.7 ลิตรต่อวัน
  • ภาวะน้ำเป็นพิษ(Water intoxication) เป็นภาวะที่ร่างกายสะสมน้ำไว้มากเกินไป จนส่งผลให้มีโซเดียมในเลือดต่ำ ทั่วไปมักเป็นภาวะที่ก่ออาการผิดปกติเฉียบพลัน
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่สมดุลกับความต้องการของร่างกายและกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ไม่ดื่มน้ำมากเกินไป โดยสังเกตุได้จากสีปัสสาวะที่จางมากจนใสใกล้เคียงกับสีน้ำดื่ม

ทุกคนต่างทราบดีว่า การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันย่อมเป็นผลดีต่อร่างกาย ต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่? หากดื่มน้ำมากเกินไปกลับกลายเป็นผลเสียต่อร่างกาย ดื่มน้ำมากไป ก็ไม่เวิร์ค ดื่มน้อยไปก็แย่ แล้วในแต่ละวันเราต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าใด…

การดื่มน้ำ” มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 

ทำให้คนเราต้องการน้ำตกวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยจะมีการขับน้ำออกจากร่างกายในลักษณะของปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ ซึ่งจะขับออกทางปัสสาวะวันละประมาณครึ่งลิตร ถึง 2.3 ลิตร

ถ้าร่างกายขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ หรือดื่มน้ำมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ดื่ม ‘น้ำ’ อย่างไรให้ผิวสวยสู้ ‘หน้าร้อน’

เปิด 10 จุดเติมน้ำฟรี ดื่มน้ำฟรี ดับร้อนทั่วกรุง ลดพลาสติก คนกรุงเทพฯ เช็กเลย

ดื่มน้ำมาก ระวังภาวะน้ำเป็นพิษ 

ภาวะน้ำเป็นพิษ(Water intoxication) คือภาวะที่ร่างกายสะสมน้ำไว้มากเกินไป จนส่งผลให้มีโซเดียมในเลือดต่ำ ทั่วไปมักเป็นภาวะที่ก่ออาการผิดปกติเฉียบพลัน โดยอาจจากการดื่มน้ำ บริโภคน้ำมากเกินไป หรือจากการที่ร่างกายสะสมน้ำมากขึ้นๆ หรือไม่สามารถกำจัดน้ำออกจากร่างกายได้ในอัตราปกติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการ เหนื่อย ปวดศีรษะ ทรงตัวไม่ได้/เซ สับสน อาจคลื่นไส้ อาเจียน และถ้าอาการรุนแรงจะ ชัก โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

ภาวะน้ำเป็นพิษ เป็นภาวะพบทั่วโลก ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ แต่ไม่มีรายงานสถิติเกิดที่แน่ชัดเพราะมักแยกรายงานตามแต่ละสาเหตุซึ่งมีได้หลากหลายสาเหตุ เป็นภาวะพบใน ทุกวัยแต่พบสูงขึ้นในผู้สุงอายุจากการมีโรคประจำตัวหลายโรคที่ทำให้ขีดความสามารถในการกำจัดน้ำของร่างกายลดลง เช่น โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ และพบในผู้หญิงสูงกว่าผู้ชายเล็กน้อย

ทั้งนี้ ชื่ออื่นของน้ำเป็นพิษ คือ Water poisoning หรือ Water toxemia หรือ Hyperhydration หรือ Overhydration หรือ Dilutional hyponatremia

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

ปัจจัยเสี่ยงเกิด “ภาวะน้ำเป็นพิษ”

ภาวะน้ำเป็นพิษมีปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ จากบริโภคน้ำสูงเกินความต้องการของร่างกาย และ/หรือ จากร่างกายมีการสะสมน้ำ และ/หรือกำจัดน้ำออกจากร่างกายทางไต/ทางปัสสาวะได้น้อยกว่าปกติ

ปัจจัยเสี่ยงที่ร่างกายได้รับน้ำสูงเกินความต้องการ: ที่พบบ่อย ได้แก่

  • เด็กอ่อน โดยเฉพาะที่อายุต่ำกว่า 9เดือน 

ร่างกายเด็กอ่อนมีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูงอยู่แล้ว คือประมาณ 75% จึงเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำเป็นพิษจาก เด็กบริโภคน้ำมากเกินไป รวมทั้งร่างกายเด็กยังเก็บสะสมโซเดียมได้น้อยจึงเสี่ยงที่จะมีโซเดียมในเลือดต่ำได้ง่าย

  • นักกีฬาประเภทที่ออกแรง/ใช้กำลังมาก

เช่น วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา แข่งจักรยาน แข่งเรือพาย นักกีฬากลุ่มนี้จะกระหายน้ำมาก เพราะร่างกายจะเสียน้ำทางเหงื่อมาก จึงมักมีการดื่มน้ำระหว่างการแข่งขันสูงเกินปกติ

  • การเสียเหงื่อมากสาเหตุที่ไม่ใช่จากกีฬา

เช่น คนทำงานประเภทใช้แรงมาก ออกแดดจัด หรือการบริโภคยาบางประเภท(เช่น ยากลุ่ม MDMA) ซึ่งการเสียเหงื่อมากจะเสียโซเดียมทางเหงื่อมากขึ้น รวมถึงกระหายน้ำมาก จึงดื่นน้ำเพิ่มมากขึ้น

  • ผู้ป่วยทางจิตเวช

ผู้ป่วยทางจิตเวชหลายกลุ่ม จะมีพฤติกรรมที่ดื่มน้ำมากตลอดเวลาทั้งจำนวนและปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละครั้ง จนส่งผลให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษ

  • ผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่กินอาหารทางปากไม่ได้/ได้น้อย

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับอาหารและน้ำดื่มจากท่อให้อาหาร และ/หรือร่วมกับการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำได้ง่าย เพราะอาหารประเภทดังกล่าวจะมีโซเดียมต่ำกว่าอาหารปกติทั่วไป

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

สาเหตุร่างกายสะสมน้ำในร่างกาย -กำจัดน้ำได้น้อยกว่าปกติ

  • ผู้มีโรคประจำตัว 

ได้แก่ โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ซึ่งโรคต่างๆดังกล่าวเป็นโรคที่ส่งผลให้ร่างกายมีการสะสมน้ำในร่างกายมากขึ้น

  • ผู้สูงอายุ

เพราะเป็นวัยที่มีโรคประจำตัวต่างๆที่ส่งผลให้มีการสะสมน้ำในร่างกายสูงเกินปกติ เช่น โรคดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ”โรคประจำตัว”

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

อาการเมื่อเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ

  • อาการที่พบได้จากภาวะน้ำเป็นพิษ ได้แก่
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดศีรษะ
  • ท้องเสีย
  • อ่อนเพลีย
  • ถ้าอาการรุนแรงขึ้น จะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริว
  • ถ้าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นอีก จะมีอาการทางสมอง เช่น สับสน ชัก โคม่า และเสียชีวิตได้

เมื่อเซลล์เกิดการบวมน้ำ  จะเกิดอาการดังนี้

  • สับสน มึนงง
  • ปวดศีรษะ
  • ง่วงซึม
  • ริมฝีปาก มือ และเท้า มีอาการบวม

ระดับแร่ธาตุในร่างกายลดลงผิดปกติ  จะเกิดอาการดังนี้

  • เกร็งของกล้ามเนื้อหรือตะคริว
  • เกิดอาการชัก
  • สูญเสียการรับรู้
  • การเสียชีวิตได้

สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยภาวะน้ำเป็นพิษเสียชีวิต คือ การเกิด ภาวะสมองบวม ที่เกิดจากมีการสะสมน้ำมากในร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะโซเดียมในเลือดต่ำมากและต่ำกว่าในเซลลทั่วร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมอง การมีโซเดียมที่เป็นตัวอุ้มน้ำนี้ต่ำ จะส่งผลให้น้ำในเลือดที่อยู่นอกเซลล์ซึมเข้าสู่ในเซลล์ ส่งผลต่อเนื่องให้เซลล์เกิดการบวมน้ำ หรือกรณีของสมอง ก็คือ เกิดภาวะสมองบวม ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการ ปวดศีรษะรุนแรง ชัก โคม่า และอาจเสียชีวิตในที่สุดถ้าแพทย์แก้ไขภาวะสมองบวมได้ไม่ทัน

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

ดื่มน้ำมากเกินไปจะเกิดผลเสียอย่างไร

  • โซเดียมต่ำกว่าปกติ

ค่าปกติของโซเดียมในร่างกายนั้นจะอยู่ที่  135-145 mEg/L.

แต่ถ้าหากดื่มน้ำมากเกินไปร่างกายเสียสมดุล โดยค่าของโซเดียมนั้นจะอยู่ต่ำกว่า 135 mEq/L นี่คือภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ

อาการของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำมักจะมีอาการสับสนเพียงเล็กน้อย หรือการเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ หากมีอาการรุนแรงจะมีความรู้สึกง่วงนอน และไม่รู้สึกตัวในที่สุด

  • เซลล์บวม

ในร่างกายของมนุษย์จะมีโซเดียม และโพแทสเซียมไอออนที่ทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย และรักษาสมดุลของเหลว ระหว่างเซลล์ และเลือด หากดื่มน้ำมากเกินไปน้ำก็จะเข้าไปในเซลล์ ทำให้เซลล์บวมมากขึ้น จะมีอาการปวดศีรษะ ชัก และไม่รู้สึกตัว มีความเสี่ยงในการเสียชีวิต

  • กล้ามเนื้อเป็นตะคริว

เมื่อร่างกายเสียสมดุลจากการดื่มน้ำมากเกินไป กล้ามเนื้อจะเกิดการหดเกร็ง และเป็นตะคริวในที่สุด

  • ไตทำงานหนัก

หากดื่มน้ำครั้งละมากๆ ไตจะกรองน้ำส่วนเกินออกจากเลือดอย่างหนัก ส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้อรัง และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

  • หัวใจทำงานหนัก

เมื่อดื่มน้ำเข้าไปในร่างกาย ลำไส้เล็กจะทำการออสโมซิส (Osmosis)  น้ำไปในกระแสเลือด เมื่อปริมาณน้ำเข้าสู่ร่างกายเยอะ ปริมาตรเลือดก็เพิ่มสูงขึ้น หัวใจจึงต้องทำงานหนัก สามารถเกิดอาการชักได้

  • โพแทสเซียมต่ำกว่าปกติ

เมื่อได้รับน้ำมากเกินไป ทำให้ระดับของโพแทสเซียมในร่างกายต่ำลง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้

  • เหนื่อย อ่อนเพลีย

หากไตทำงานหนักขึ้น ร่างกายจะมีความรู้สึก อ่อนเพลีย และเหนื่อยได้เช่นกัน

ดื่มน้ำให้เหมาะสมกับร่างกาย

ใน 1 วัน เราควรดื่มน้ำเท่าไรถึงจะเหมาะสมดีต่อร่างกาย 

ร่างกายของเราแต่ละคน ต้องการปริมาณน้ำไม่เท่ากัน แล้วควรดื่มน้ำเท่าไร? เรามีวิธีการคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของเราเอง

น้ำหนัก (กิโลกรัม) x 2.2 x 30/2 = ปริมาณน้ำ(มล.)

เช่น น้ำหนักตัว 55 x 2.2 x 30/2 = 1,815 มล. หรือ 1.8 ลิตร

  • ผู้ชายควรดื่มน้ำไม่เกิน 3.7 ลิตรต่อวัน
  • ผู้หญิงควรดื่มน้ำไม่เกิน 2.7 ลิตรต่อวัน

ควรจิบน้ำทีละน้อยตลอดทั้งวัน

หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำทีละมากๆ ในเวลาสั้นๆ

นอกจากการดื่มน้ำแล้ว การปัสสาวะก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ปกติแล้วควรปัสสาวะทุกๆ 3-4 ชั่วโมง ใน 1 วัน และสีปัสสาวะต้องเป็นสีเหลืองอ่อนๆ หากมีการปัสสาวะน้อยกว่า 3-4 ครั้ง ต่อวัน และปัสสาวะเป็นสีเข้ม แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำน้อยจนเกินไป หากมีการปัสสาวะมากกว่า 6–8 ครั้งต่อวัน และปัสสาวะมีสีใส แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำมากเกินไป

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

ดูแลตนเองเมื่อมีภาวะน้ำเป็นพิษ

ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ

  • กินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง ไม่ขาดยา
  • กินอาหารที่มีโซเดียมสูงขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • รักษา ควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล
  • ไม่ใช้ยาอื่นๆนอกเหนือคำสั่งแพทย์/ ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ เพื่อลด/โอกาสเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงจากยา
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

ป้องกันภาวะน้ำเป็นพิษได้อย่างไร?

สามารถป้องกันภาวะน้ำเป็นพิษได้โดย

  • ดื่มน้ำ/วันในปริมาณที่สมดุลกับความต้องการของร่างกายและกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ไม่ดื่มน้ำมากเกินไปที่สังเกตุได้จากสีปัสสาวะที่จางมากจนใสใกล้เคียงกับสีน้ำดื่ม
  • เมื่อมีกิจกรรมที่ เสี่ยเหงื่อ เสียน้ำมาก เช่น จากกีฬาที่ต้องใช้แรงมาก ควรต้องดื่มน้ำเกลือแร่/เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา เพื่อคงสมดุลของโซเดียมในเลือดเสมอ
  • เมื่อมีโรคประจำตัวที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณน้ำ/วันที่เหมาะสมกับตนเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอย่างเคร่งครัด
  • ป้องกัน ควบคุม ดูแลรักษา โรคประจำตัวต่างๆให้ได้ดี เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ เช่น โรคตับ โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ รวมถึงจะช่วยลดการบริโภคยาต่างๆที่ผลข้างเคียงของยานั้นๆอาจส่งผลให้มีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
  • ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ เมื่อซื้อยาใช้เอง ต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ เพื่อป้องกัน/ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่างๆจากยา

เมื่อไหร่ควรรีบไปพบแพทย์

เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ "อาการ" ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ

แพทย์วินิจฉัยภาวะน้ำเป็นพิษได้จากการวินิจฉัยทางคลินิก ที่สำคัญ คือ ประวัติอาการ ประวัติการทำกิจกรรม การงาน/อาชีพ ก่อนเกิดอาการ การใช้ยาต่างๆ ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน และในอดีต โรคประจำตัว และการตรวจร่างกาย ซึ่งอาจมีการตรวจเลือดดูค่าโซเดียมเพื่อยืนยันภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ

การตรวจปัสสาวะดูค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ นอกจากนั้นอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นเพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลในเลือดกรณีผู้ป่วยมีประวัติโรคเบาหวาน การตรวจเลือดดูค่าการทำงานของไตกรณีสงสัยสาเหตุมาจากโรคไต เป็นต้น

“ดื่มน้ำ“เพียงพอมีประโยชน์  ดื่มน้ำมากเกินไป ระวัง!น้ำเป็นพิษ

รักษาภาวะน้ำเป็นพิษอย่างไร?

แนวทางการรักษาภาวะน้ำเป็นพิษได้แก่ การลดปริมาณน้ำในร่างกายร่วมกับการเพิ่มปริมาณโซเดียมในเลือด: ได้แก่

  • การจำกัดปริมาณน้ำดื่ม/วันตามคำสั่งแพทย์
  • การให้อาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารรสเค็ม
  • การให้ยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ
  • การให้ยาเพิ่มโซเดียม กรณีมีโซเดียมในเลือดต่ำมาก ซึ่งอาจเป็นยารับประทาน เช่น ยาเม็ดSodium chloride หรือยาให้ทางหลอดเลือดดำกรณีโซเดียมในเลือดต่ำมากๆ เช่น การให้สารละลายSodium chloride

การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ: ซึ่งจะต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามสาเหตุ เช่น การรักษา/ควบคุม โรคหัวใจ หัวใจวาย โรคเบาหวาน โรคไต ไตวาย โรคตับ หรือ ตับวาย (อ่านเพิ่มเติมรายละเอียดของแต่ละโรคที่รวมถึง การรักษาได้จากเว็บ haamor.com) หรือการหยุดยาที่เป็นสาเหตุ กรณีสาเหตุเกิดจากผลข้างเคียงของยานั้นๆ เป็นต้น

การรักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น การให้ยาแก้ปวดศีรษะกรณีปวดศีรษะรุนแรง การให้ยากันชัก/ยาควบคุมอาการชักกรณีมีอาการชัก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวันจะช่วยให้ไตทำงานได้ดี และช่วยให้ตับกำจัดไขมันได้อย่างเต็มที่ โดยไต คืออวัยวะที่หลายคนไม่ค่อยนึกถึง แต่มันกลับต้องทำหน้าที่สำคัญในการกำจัดสารพิษต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเกิดจากกระบวนการทำงานภายในเซลล์ เช่น ยูเรีย และกรดยูริก ดูดสารอาหารที่มีประโยชน์กลับคืนเข้าสู่ร่างกาย เช่น กลูโคส กรดอะมิโน ฯลฯ

อ้างอิง :หาหมอ.com ,โรงพยาบาลศิครินทร์ ,โรงพยาบาลเพชรเวช