“Ice Bath”แช่น้ำเย็นจัด ลดอักเสบ-ความเครียด-เหนื่อยล้า แต่ไม่รักษามะเร็ง
“Ice bath” เป็นรูปแบบการบำบัดร่างกายด้วยการแช่ในน้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิประมาณ 10 ถึง 15 องศาเซลเซียสเป็นเวลาประมาณ 8 ถึง 15 นาที กลายเป็นเทรนด์ฮิตของการดูแลสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
KEY
POINTS
- Ice bath การแช่น้ำเย็นจัด ช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าคล้ายกับการที่เราทำประคบเย็นหลังจากการบาดเจ็บ
- งานศึกษาวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ ชี้ชัดว่าคนที่อาบน้ำเย็นมีโอกาสป่วยน้อยกว่าคนที่อาบน้ำร้อน โดยผลการศึกษา พบว่ากลุ่มที่ใช้น้ำเย็นปิดท้ายการอาบน้ำมีการลาป่วยลดลง 29% จากที่ทำงาน
- ทางการแพทย์มีวิธีการใช้ความเย็นรักษาผู้ป่วยมะเร็งจริง แต่วิธีการที่ใช้จะต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ มีอุณหภูมิเย็นติดลบหลายองศา และมีแพทย์เป็นผู้รักษาใกล้ชิด รวมถึง ไม่ใช่การลงไปแช่ทั้งตัว
“Ice bath” เป็นรูปแบบการบำบัดร่างกายด้วยการแช่ในน้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิประมาณ 10 ถึง 15 องศาเซลเซียสเป็นเวลาประมาณ 8 ถึง 15 นาที กลายเป็นเทรนด์ฮิตของการดูแลสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้
โดยการแช่น้ำเย็นจัดดังกล่าว หลายคนอาจจะแช่เพียงบางส่วนของร่างกาย หรือแช่ทั้งตัวก็ได้ ซึ่งทั้งดารา นักกีฬา หรือคนออกกำลังกายจะเห็นแช่บ่อยๆ มากกว่าคนทั่วไป เพราะ “Ice bath” ขึ้นชื่อว่าช่วยต้านการอักเสบของกล้ามเนื้อ
เราเลยมักเห็นภาพนักกีฬา หรือคนออกกำลังกายแช่น้ำแข็งบ่อยกว่าคนทั่วไป แต่นอกจากเรื่องการต้านอักเสบของกล้ามเนื้อแล้ว เคยมีกระแสที่เชื่อกันว่า Ice bath ช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งด้วย ว่าแต่การนอนแช่น้ำเย็นจัด และน้ำแข็งดีต่อสุขภาพจริงไหม แล้วใครเหมาะที่จะแช่ มีความเสี่ยงอะไรหรือไม่? มาเช็กกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ธุรกิจ 'ออนเซ็น' เมืองกรุงใจชื้น! กทม.ไฟเขียวรีโอเพ่น ชี้ชัดไม่เข้าข่ายอาบอบนวด
'Cold Plunge' แช่น้ำเย็น 10 °C ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ระวังช็อกจากความเย็นจัด
Ice bath ช่วยเรื่องอะไร? เหมาะกับใคร
ข้อมูลจาก beartai.com อธิบายว่า Ice bath คือ การลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าคล้ายกับการที่เราทำประคบเย็นหลังจากการบาดเจ็บ ความเย็นจากน้ำและน้ำแข็งจะช่วยลดอุณหภูมิของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนเลือดมายังบริเวณกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ รวมถึงการอาการปวด หรือเมื่อยล้ากล้ามเนื้อที่จะตามมาด้วย
โดยในช่วงหลังการแช่น้ำเย็นจัด หลอดเลือดจะกลับมาขยายตัว และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีกว่าเดิม ซึ่งจะนำสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ รวมถึงเนื้อเยื่อ และอวัยวะอื่นได้ดีกว่าเดิม
กลุ่มคนเล่นกีฬาต้องใช้กล้ามเนื้อเป็นประจำ และมากกว่าคนทั่วไป จึงเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ หลังจากฝึกจึงนิยมแช่น้ำเย็นจัดหลังซ้อมเพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ Ice bath ในกลุ่มนักกีฬา และคนออกกำลังกายได้รับความนิยมอย่างมาก ตั้งแต่มือสมัครเล่น หรือนักกีฬาระดับโลก
แต่ Ice bath อาจเหมาะกับการลดการอักเสบของกล้ามเนื้อในระยะฉับพลันหลังใช้กล้ามเนื้อไม่นาน ซึ่งเหมาะกับนักกีฬาที่อยู่ระหว่างช่วงการแข่งขันเท่านั้น
เพราะการศึกษาทางวิทยาศาสตร์บางส่วนที่พบว่าการแช่น้ำเย็นจัดอาจไม่ได้ส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อ รวมถึงความแข็งแรงในระยะยาว เพราะความเย็นที่เข้าไปลดการอักเสบ และการไหลเวียนของเลือด สามารถขัดขวางกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อ อย่างการสังเคราะห์เนื้อเยื่อ และยืดระยะเวลาการฟื้นตัวขอกล้ามเนื้อให้นานกว่าเดิม เคยมีการศึกษาที่ติดตามผลในคนที่ออกกำลังแบบเพิ่มความแข็งแรง อย่างพวกการยกน้ำหนัก หรืออื่น ๆ เป็นเวลา 3 เดือน และพบว่าคนกลุ่มนี้มีมวลกล้ามเนื้อ และความแข็งแรงที่ลดลง
ลดความเหนื่อยล้า ความเครียด ไม่รักษามะเร็ง
ในปี 2017 ยังมีการศึกษาที่ให้ผู้ชาย 9 คนออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนล่าง อย่างท่าสควอต ท่าลันจ์ และท่าอื่น ๆ ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ และแช่น้ำเย็นจัดหลังออกกำลังกายเป็นเวลา 10 นาที โดยทีมนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจกลับไม่พบความแตกต่างของการอักเสบระหว่างการแช่น้ำเย็นจัด และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายที่เราเรียกว่าการวอร์มดาวน์
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่พบว่า Ice bath ช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อได้แน่ชัด ควรรอให้มีการศึกษาเพิ่มเติม แต่เคยมีการศึกษาในหนูทดลองที่พบว่าการแช่น้ำเย็นจัดช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อหนูได้จริง และไม่ส่งผลชะลอการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อด้วย เราเลยควรรอการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม
นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าไม่เคยมีข้อมูลว่าวิธีการดังกล่าวรักษาหรือยับยั้งเซลล์โรคมะเร็งได้ แม้ว่าในทางการแพทย์ จะมีวิธีการใช้ความเย็นรักษาผู้ป่วยมะเร็งจริง แต่วิธีการที่ใช้จะต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ มีอุณหภูมิเย็นติดลบหลายองศา และมีแพทย์เป็นผู้รักษาใกล้ชิด รวมถึง ไม่ใช่การลงไปแช่ทั้งตัว เพราะการลงไปแช่น้ำแข็งทั้งตัว มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ เนื่องจากการทำ ice bathing จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อาจกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ง่าย
“การใช้น้ำแข็ง ส่วนใหญ่มักจะพบช่วยเรื่องการลดอาการอักเสบ มักพบเห็นมากในหมู่นักกีฬา เพราะ ช่วยลดอาการปวด การอักเสบได้ โดยการแช่น้ำ ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยควบคุมอุณหภูมิอย่างใกล้ชิด”
วิจัยชี้ชัด อาบน้ำเย็นมีโอกาสป่วยน้อยกว่าคนอาบน้ำร้อน
งานศึกษาวิจัยจากเนเธอร์แลนด์พบว่า คนที่อาบน้ำเย็นมีโอกาสป่วยน้อยกว่าคนที่อาบน้ำร้อน
โดยทีมนักวิจัยเนเธอร์แลนด์ได้ทำการศึกษาคนกว่า 3000 คน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ 1 อาบน้ำอุ่นทุกวัน
- กลุ่มที่ 2 อาบน้ำอุ่นทุกวัน และก่อนอาบน้ำเสร็จให้ใช้น้ำเย็น 30 วินาที
- กลุ่มที่ 3 ก่อนอาบน้ำเสร็จให้ใช้น้ำเย็น 60 วินาที
- กลุ่มที่ 4 ก่อนอาบน้ำเสร็จให้ใช้น้ำเย็น 90 วินาที ซึ่งทุกกลุ่มยังคงได้อาบน้ำอุ่นอยู่
หลังจากผ่านไป 3 เดือนผลปรากฎว่า กลุ่มที่ใช้น้ำเย็นปิดท้ายการอาบน้ำมีการลาป่วยลดลง 29% จากที่ทำงาน และไม่ว่าจะใช้น้ำเย็นระยะเวลานานเท่าไหร่ก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน
ยังต้องศึกษากันต่อถึงผลลัพธ์ของน้ำเย็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมีงานวิจัยบางชิ้นที่แนะนำว่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ จากงานวิจัยสาธารณรัฐเช็กได้แสดงให้เห็น ผลลัพธ์ของ “นักกีฬาวัยรุ่น” ที่อาบน้ำเย็น 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ซึ่งยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เพื่อช่วยยืนยันผลการทดลองเหล่านี้
น้ำเย็นส่งผลต่อร่างกายอย่างไร
น้ำเย็นยังส่งผลต่อระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการอาบน้ำเย็นช่วยเพิ่มการหลังฮอร์โมนนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) กระตุ้นการทำงานของหัวใจ และความดันเลือดส่งผลให้สุขภาพดีขึ้น
และในระหว่างที่เราอาบน้ำด้วยน้ำเย็น เลือดบริเวณผิวหนังของเราจะลดการไหลเวียนลง และเมื่ออาบน้ำเสร็จ ร่างกายจะพยายามทำให้ร่างกายของเราอุ่นขึ้น การไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังจะเพิ่มการไหลเวียน ซึ่งส่งผลดีต่อการไหลเวียนของเลือด และกล้ามเนื้อ
ยังมีงานวิจัยบางชิ้นพูดถึงการอาบน้ำที่อุณหภูมิ 14 ℃ ยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายถึง 350% ส่งผลต่อการลดน้ำหนักของเรา
การบำบัดด้วยความเย็น ทางเลือกรักษาสุขภาพที่ปลอดภัย
การใช้ความเย็นในการบำบัดและรักษามีมาเป็นระยะเวลานานกว่า 40 ปี และค่อยๆวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถบำบัดอาการ รักษาโรคได้อย่างหลากหลายในปัจจุบัน
"โดยหลักการทางการแพทย์คือ ความเย็นในช่วงอุณหภูมิ และช่วงเวลาที่ต่างๆ สามารถทำปฏิกิริยากับจะสามารถทำลดการขยายตัวของหลอดเลือดมีผลลดการหลั่งของสารสื่ออักเสบ หรือสารสื่อความเจ็บปวดต่าง และในบางช่วงอุณหภูมิจะสามารถทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโตหรือตายไปในที่สุด"
การใช้หลักการ คือ ความเย็นในช่วงอุณหภูมิต่างๆ ในการบำบัด การรักษาโรค และการเก็บรักษาทางการแพทย์ต่างๆ ดังนี้ เช่น
- การใช้ความเย็นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากกีฬา โดยใช้ Cryotherapy Chamber
หลักการคือ การใช้ความเย็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรก หลังการเล่นกีฬา จะช่วยลดความเจ็บปวด เนื่องจากความเย็นช่วยลดความเร็วการนำกระแสประสาทที่นำความรู้สึกเจ็บปวดไปยังสมองให้ช้าลง และยังสามารถลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น รวมถึงทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้ร่างกายลดการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ กระบวนการอักเสบจากการบาดเจ็บหรือการออกกำลังกายจะลดน้อยลง โดยเราจะใช้อ่างควบคุมอุณหภูมิความเย็นที่เรียกว่า cryotherapy chamber เป็นระยะเวลาสั้นๆ การบำบัดนี้ต้องควบคุมโดยผู้ชำนาญการที่ได้รับการฝึกอบรมมาเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้ารับการบำบัดเกิดภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) หรือเนื้อเยื่อเสียหายจากการถูกความเย็นจัด
- การใช้ความเย็นเพื่อลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง (Cryolipolysis)
หลักการคือ การใช้ความเย็นในระดับจุดเยือกแข็ง -11 ถึง -13 °C ลงไปใต้ชั้นผิวหนังเข้าสู่ชั้นไขมัน จากนั้นความเย็นจะทำให้เซลล์ไขมันตายลง และถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก โดยทำให้ไม่เกิดรอยแผล เทคนิคนี้จะช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่กำจัดได้ยาก (Visceral fat) จากการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ทำให้รูปร่างลดกระชับยิ่งขึ้น
- การใช้ความเย็นในการรักษาโรคผิวหนัง โดยการจี้เย็น
เป็นการใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ลงไปที่ผิวหนังด้วยความเย็น -80 องศา ทำให้ความเย็นสามารถเข้าไปทำลายโรคผิวหนังบางชนิดได้ถึงผิวหนังชั้นลึก เช่น หู กระเนื้อหรือเนื้องอกผิวหนัง ทำให้เซลล์ที่ผิดปกติเหล่านั้นหยุดการแบ่งตัวและหลุดไปและสร้างเซลล์ที่ปกติขึ้นมาแทนที่ นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษามะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้นได้ดี
- การใช้ความเย็นจัดในการผ่าตัด เพื่อทำลายเนื้อเยื่อภายในที่ผิดปกติ และเนื้องอก หรือโรคมะเร็งบางชนิด (Cryoablation, Cryosurgery)
เป็นการตัดมะเร็งออกโดยทำลายเนื้องอก หรือ มะเร็งด้วยกลไกการแข็งตัวและการละลายของเซลล์ โดยการใช้อุณหภูมิต่ำกว่า -40 องศาเซลเซียส ปัจจุบันแพทย์สามารถกำจัดเนื้องอก หรือก้อนมะเร็งโดยผ่านเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงได้อย่างแม่นยำ โดยใช้เครื่องมือที่เป็นเข็มแทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนเนื้อเยื่อที่ต้องการกำจัด ความเย็นจะทำให้เนื้อเยื่อที่ผิดปกตินั้นตาย แล้วถูกกำจัดโดยร่างกาย หรือแพทย์อาจนำเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออกมาผ่านเครื่องมือนั้นๆ
- การใช้ความเย็นในการศูนย์เจริญพันธุ์ เช่น เก็บรักษาไข่ (Oocyte) อสุจิ (Sperm) และตัวอ่อน (Embryo) ด้วยวิธีแช่แข็ง
เป็นการใช้ความเย็นเพื่อเก็บรักษาไข่หรืออสุจิที่ดีที่สุดเพื่อนำมาผสมเทียมหรือใช้ปฏิสนธิกับอสุจิหรือไข่นอกร่างกายโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งต้องอาศัยผู้ชำนาญการในการเก็บรักษา เช่น นักพันธุศาสตร์และแพทย์ผู้ชำนาญการด้าน In-vitro Fertilization, IVFเป็นผู้ดูแล มีผลทำให้โอกาสเกิดอัตราความสำเร็จสูงสุด
ข้อดีของการรักษาด้วยความเย็นจัดมีอะไรบ้าง
- เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด เนื่องจากวิธีการ อาจเป็นเพียงการเจาะ แทงเข้าไป จึงไม่เกิดรอยแผลเป็นแบบการผ่าตัด ไม่ต้องวางยาสลบ และฟื้นตัวไว
- ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้รังสี จึงลดผลข้างเคียงและลดผลกระทบต่ออวัยวะอื่นในร่างกาย
- ใช้เวลาไม่นาน
- ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการผ่าตัด
ข้อเสียของการรักษาด้วยความเย็นจัดมีอะไรบ้าง
- ต้องทำโดยผู้ชำนาญการที่ได้รับการอบรมมาเฉพาะทางและผ่านการอบรมด้านการใช้เครื่องมือมาแล้วเท่านั้น เพราะหากความเย็นไปโดนเซลล์ที่ปกติหรือเส้นประสาทบริเวณรอบๆจะทำให้เกิดความเสียหายได้
- เครื่องมือที่ใช้ในการรักษาต้องเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูง เชื่อถือได้ในเรื่องของความแม่นยำในการกำหนดตำแหน่งที่ต้องการรักษาและความแม่นยำในการควบคุมอุณหภูมิ
การรักษาด้วยความเย็นอาจช่วยรักษาหรือป้องกันโรคได้อีกหลายโรค ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการวิจัย เช่น ป้องกันโรคสมองเสื่อม (dementia) อาจช่วยรักษาโรคไมเกรน ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า
อ้างอิง : healthline ,โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์