avocado (อะโวคาโด) Superfood ของโลก ทำไมราคาสูง
บ้านเราในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ผลไม้กึ่งผักที่มาแรงในตลาด ไม่ว่าไปที่ไหนก็จะพบเห็นและมีราคาสูงนั่นก็คือ avocado (อะโวคาโด) มันมีที่มาอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ทำไมจึงมีราคาสูงเเละมีข้อเสียบ้างหรือไม่
อะโวคาโดมีหลายรูปลักษณ์เพราะมีนับร้อยพันธุ์ แต่ที่ปลูกและบริโภคกันนั้นมีไม่กี่ชนิดคล้ายกับมะม่วง อะโวคาโดบ้างก็กลม บ้างก็รี บ้างก็ยาวคล้ายแตงกวา
ที่มาของชื่อนั้นถ้าเล่าไปแล้วบางท่านที่บริโภคอาจรู้สึกเขิน avocado ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาสเปนว่า aguacate โดยมาจากภาษาพื้นเมืองของชาว Aztec อีกที ซึ่งหมายถึง “อัณฑะ” เข้าใจว่าเนื่องจากมันห้อยลงมาจากกิ่งโดยมีก้านยาวและบ่อยครั้งที่ห้อยเป็นคู่ นับว่าจินตนาการของชาวพื้นเมืองใช้ได้เลย
ชาวพื้นเมืองรู้จักอะโวคาโดมานับพันปี มีการพบฟอสซิลในบริเวณตอนกลางและใต้ของเม็กซิโกว่ามีอายุนับล้านปี
นอกจากนี้มีหลักฐานว่ามนุษย์นำมาปลูกเป็นอาหารเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล หรือเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน ผู้คนในวัฒนธรรมอเมริกากลางไม่ว่า Olmec (ประมาณ 1,200-400 ก่อนคริสตกาล) หรือ Maya (2,000 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 1700) หรือ Aztec (ค.ศ. 1300-1520)) ฯลฯ ล้วนบริโภคอะโวคาโดเป็นอาหาร
จุดเปลี่ยนของมันคือเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางไปบริเวณอเมริกากลาง (คนไทยเหมารวมเรียกส่วนนี้ว่าเป็นอเมริกาใต้ด้วย) เมื่อศตวรรษที่ 16 อันนำไปสู่การล่มสลายของหลายวัฒนธรรมของคนพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักร Aztec
และเมื่อพวกรุกรานเหล่านี้เดินทางกลับก็นำเอาพืชหลายอย่างของทวีปอเมริกา (โลกใหม่) ติดตัวไปยุโรปและแพร่หลายไปเอเชียในเวลาต่อมา เช่น พริก ข้าวโพด มันฝรั่ง มะเขือเทศ มันเทศ สับปะรด ลฯล และอะโวคาโด
อย่างไรก็ดี อะโวคาโดไม่เป็นที่นิยมเหมือนพืชอื่น ๆ มันเริ่มเป็นที่รู้จ้กเมื่อเดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกาในต้นศตวรรษที่ 19 และรู้จักกว้างขวางขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นประมาณกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อมีการพัฒนาการขนส่งและการแช่เย็น จึงเป็นที่นิยมมากขึ้นและแพร่กระจายไปยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย
อะโวคาโดฮิตมากขึ้นทุกทีในทศวรรษ 1990 และ 2000 อันเป็นผลจากการตลาดซึ่งสอดคล้องกับการพุ่งขึ้นของรสนิยมบริโภคอาหารสุขภาพของชาวโลก
อะโวคาโดกินสดก็ได้ แต่ที่นิยมคือเอามาปั่นกับนมและน้ำเเข็งเป็นสมูทตี้ หรือเอามาบดให้เละใส่มะนาว เกลือผสมกันเป็นเครื่องจิ้มหรือdip กินกับแผ่นมันฝรั่งทอด หรือเอา dip ไปทาขนมปังปิ้ง ในสหรัฐอเมริกาการเอามาทำเป็น dip นั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก
อะโวคาโดมันมีดีอะไรหนักหนา ผู้คนถึงบ้าคลั่งกันทั้งโลก
คำตอบอยู่ที่การอุดมด้วยสารอาหาร ใน 100 กรัมของอะโวคาโดมีไขมันมากถึง 15% โดยเป็นไขมันดีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กล่าวคือ เป็น ไขันประเภท monounsaturated และ polyunsaturated มีคาร์โบไฮเดรต 9% มีโปรตีน 2% มีเส้นใยอาหาร 7% และมีน้ำตาลเพียงไม่ถึง 1%
นอกจากนี้ยังมีวิตามิน K / B9 / B6 / B3 / B5 / B2 / สาร niacin ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพในหลายด้าน / สาร lutein สนับสนุนสุขภาพตา / เบตาเคโรตีน ต้านอนุมูลอิสสระ เเละกรดไขมัน omega-3 ซึ่งสนับสนุนสุขภาพหัวใจ ฯลฯ
กล่าวโดยสรุปอะโวคาโดมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก โดยเฉพาะต่อสุขภาพหัวใจ สุขภาพตา การควบคุมระดับคอเลสตอรอลในร่างกาย ลดการอักเสบในร่างกายและมีสารต้านอนุมูลอิสระ น้ำหนัก 100 กรัมหรือครึ่งลูกให้พลังงานประมาณ 160 แคลลอรี่
อะโวคาโดมีหลายพันธุ์ที่มีการนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ ที่นิยมและบริโภคกันมากสุดในโลกในปัจจุบันคือพันธุ์ Hass ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยคนอเมริกันในปี 1935 เนื่องจากมีรสชาติดี มีไขมันมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ ออกลูกดี ทนความหนาวได้
Hass มีรูปร่างเเละขนาดคล้ายไข่ไก่ ผิวขรุขระสีเขียวแก่ ส่วนพันธุ์อื่นในบ้านเราได้แก่ พันธุ์ปีเตอร์สัน / รูเฮิล / บัคคาเนียร์ / บูธ 7 เเละ8 / ฮอลล์ ฯลฯ
กรมส่งเสริมการเกษตรบ้านเราได้ทดลองเพาะพันธุ์มาหลายปีโดยร่วมงานกับโครงการหลวงและหลายหน่วยงาน จนได้ผลเเละมีการปลูกกันไปทั่วโดยเฉพาะในบริเวณที่ราบ พื้นที่สูง ตราบที่ไม่มี น้ำขัง น้ำถึง ดินระบายน้ำดีไม่ชื้นแฉะและมีแดดดี อะโวคาโดเป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 18 เมตร รากตื้น แต่ขยายร่มใบไปไกลถึง 5-7 เมตรโดยรอบ
อะโวคาโดผลิตโดยเม็กซิโกมากสุดเชิงปริมาณในโลก คือประมาณ 33-35% รองมาก็เป็นโดมินิกัน 10% โคลัมเบีย ชิลี โดมินิกันรวมกันกว่า 20% สหรัฐอเมริกาผลิตมากในรัฐแคลิฟอร์เนีย และฟลอริดารวมประมาณ 5% ประเทศอื่น ๆ ได้แก่ อาฟริกาใต้ สเปน อิสราเอล เคนยา ชิลี ฯลฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากไทยก็มีเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งรวมกันแล้วเป็นเพียง 2% ของผลผลิตโลก
เหตุที่อะโวคาโดแพงถึงกิโลละ 80-120 บาทสำหรับผลผลิตในบ้าน และอาจถึง 200 กว่าบาท หากนำเข้าก็เพราะมีอายุสั้นเพียง 2-3 วัน หลังจากสุก เวลาเก็บต้องใช้แรงงานมาก เลือกเก็บเฉพาะลูกแก่ และนำมาไว้นอกต้นอีก 1-2 อาทิตย์ (ผลกลายเป็นสีดำ)
เมื่อสุกแล้วก็มีอายุสั้น หากเก็บไว้ตู้เย็นอาจยืดออกไปได้ 2-3 วัน เมื่อความต้องการในโลกมีสูงมากอย่างที่การผลิตไล่ตามไม่ทัน แรงกดดันราคาจึงสูง นอกจากนี้แหล่งผลิตอยู่ไกลถึงอเมริกากลาง จึงมีต้นทุนขนส่งและการแช่เย็นที่สูง ลูกออกเป็นฤดูกาล มักออกสลับสระหว่างดกกับไม่ดก
ถึงอะโวคาโดมีข้อดีมากมายแต่ก็มีข้อเสียต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมันใช้น้ำมากในการปลูก มีการคำนวณว่าในการปลูกหนึ่งลูกใช้น้ำถึง 300 ลิตรโดยคำนวณตั้งแต่เริ่มปลูกจนเป็นลูก ในอเมริกากลางบางประเทศมีการทำลายป่าเพื่อเอามาปลูกจนเป็นปัญหา
อะโวคาโดเดินทางยาวไกลจากการเป็นอาหารของชาวพื้นเมืองในอเมริกากลางเป็นเวลานับพัน ๆ ปี มาสู่การเป็น superfood ของชาวโลกในปัจจุบัน หากคิดไปแล้วเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก มีผลไม้หรือผักอื่นใดที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพเหมือนอะโวคาโดบ้างครับ.