สัญญาณปี 68 ผู้ป่วยโรคติดเชื้อพุ่ง สูงวัย เด็ก สตรีมีครรภ์ เสริมภูมิคุ้มกัน

“โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ” เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมาคนไทยป่วยเป็นโรคโควิด-19
KEY
POINTS
- ปี 2568 โรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่จะมีการระบาดมากกว่าโควิด-19 เนื่องจากมีสายพันธุ์ใหม่ และการดูแลสุขภาพของบุคคล กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสตรีมีครรภ์ควรฉีดว
“โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ” เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมาคนไทยป่วยเป็นโรคโควิด-19 และผู้ป่วยส่วนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์จะลดความรุนแรงลง แต่ยังพบว่ามีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง
สถิติในปี 2567 พบผู้ป่วยสะสม 769,200 คน ถือว่ามากเมื่อเทียบกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น ๆ โดยกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุดและผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป มีผู้เสียชีวิตสะสม 222 ราย และสายพันธุ์ที่ตรวจพบเกือบทั้งหมดเป็นสายพันธุ์ JN.
ส่วนของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ในปี 2567 มีผู้ป่วย RSV สะสม 8,218 ราย โดยพบมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี (51.84%) รองลงมาคืออายุ 2 – 4 ปี (35.24%) และอายุ 5 - 9 ปี (6.44%) รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไป (3.02%) อีกทั้ง เป็นการสุ่มตัวอย่างในผู้ป่วยที่มาด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ในโรงพยาบาลเครือข่ายของกรมควบคุมโรค 8 แห่ง ซึ่งในความเป็นจริงอาจมีจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้
ขณะที่ สถานการณ์โรคปอดอักเสบ ปี 2567 มีผู้ป่วยสะสมกว่า 4 แสนราย โดยกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มอายุ 0–4 ปี รองลงมาคือ อายุ 60 ปีขึ้นไป และอายุ 5–9 ปีตามลำดับ ส่วนผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ 50–59 ปีและอายุ 40–49 ปีตามลำดับ
อัตราป่วยตายจะเพิ่มขึ้นตามกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้น มีผู้เสียชีวิต 865 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดได้จากทั้งเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย โดยไวรัสเกิดได้จากไข้หวัดใหญ่ RSV และโควิด-19 ในขณะที่แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักได้แก่เชื้อ Streptococcus pneumoniae หรือเชื้อนิวโมคอคคัส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไข้หวัดใหญ่ระบาด เตือนดูแลสุขอนามัย
นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2568 มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ข้อมูลถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ มีผู้ป่วยสะสม 8,434 ราย เสียชีวิต 3 ราย โดยสายพันธุ์ที่พบส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ JN.1
ปัจจุบันมีการพยากรณ์โรคว่าปี 2568 กลุ่มโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่จะมีการระบาดมากกว่าโควิด-19 ซึ่งปัจจัยมาจากสายพันธุ์ของโรค และการดูแลสุขภาพของบุคคล เนื่องจากหลายๆ คนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง
“อยากให้ประชาชนดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสจมูก ปาก ตา ควรสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน หรือไปในสถานที่ปิด สถานที่แออัด ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หมั่นเช็ดถูทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน สะอาด หากพบว่าป่วยเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจควรหยุดพักรักษาตัวจนกว่าจะหายเป็นปกติ โดยเฉพาะหลังพบเด็กป่วย และเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ดังนั้น การได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจึงยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง”นพ.วีรวัฒน์ กล่าว
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เสียชีวิตด้วยปอดอักเสบ
“รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์” กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า การได้รับวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยทุกกลุ่มอายุ เพราะวัคซีนเปรียบเสมือนอาวุธสำคัญทางการแพทย์ในการต่อสู้กับเชื้อโรค และทำให้มนุษยชาติมีอายุยืนยาว
แต่ทั้งนี้ วัคซีนไม่ได้สามารถป้องกันโรคได้ 100 % แต่สามารถช่วยลดการติดเชื้อ อาการเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิตได้ ดังนั้น ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ควรจะได้รับวัคซีน ซึ่งข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ากลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก เสียชีวิตด้วยโรคปอดอักเสบมากเป็นอันดับต้น ๆ
สำหรับโควิด-19 ในเด็กเล็กเมื่อเป็นแล้วมักมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง จนเกิดอาการชักได้ และมีอัตราการนอนรพ.สูงกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ เด็กบางคนเมื่อหายจากโควิด 19 แล้ว อาจมีอาการ “Long COVID” นานเป็นเวลาหลายเดือนได้ ส่วนในเด็กโตอาจมีอาการอักเสบรุนแรงทั่วร่างกายเรียก “MIS-C”
ขณะที่ โรค RSV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เด็กวัย 0-6 เดือนป่วยได้บ่อย และจัดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เด็กเป็นปอดอักเสบต้องนอนโรงพยาบาล อาจมีอาการรุนแรงจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหอบหืดที่เพิ่มขึ้น
“ที่น่ากังวล คือ การติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ ไม่ได้จบแค่ไวรัสเท่านั้น ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมได้ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการสำคัญคือเชื้อนิวโมคอคคัสที่มักอาศัยอยู่ในโพรงจมูก และลำคอของเด็ก ๆ อยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เด็กร่างกายอ่อนแอหรือมีการติดเชื้อไวรัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ไข้หวัดใหญ่ RSV หรือ โควิด 19 ก็ตาม จะทำให้เชื้อนิวโมคอคคัส แพร่กระจายไปอวัยวะทั่วร่างกาย”รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากจะทำให้เกิดปอดอักเสบแล้ว ยังทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด และหูชั้นกลางอักเสบได้ด้วย แต่โชคดีที่ทั้ง 4 โรคนี้มีวัคซีนป้องกัน เราจึงสามารถลดอัตราการป่วย-ตาย การนอน รพ. จากเชื้อดังกล่าวได้เป็นอย่างดีทั่วโลก
“วัคซีน” อาวุธทางการแพทย์ต่อสู้เชื้อโรค
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวต่อว่าเด็กเล็ก ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็กอายุ 0-6 เดือนที่ไม่สามารถสร้างภูมิเองได้เอง ช่วงนี้จะถือว่าอันตราย เพราะต่อให้ฉีดได้ประมาณ 2 เดือน และต้องฉีดซ้ำๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแต่ไม่ใช่ว่าภูมิคุ้มกันจะขึ้นทันที และอีกกลุ่มที่น่าห่วง คือ ผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรคได้ดีเหมือนตอนหนุ่มสาว
ขณะที่อายุไขของผู้ชายไทยอายุ 77 ปี ผู้หญิงอายุ 82 ปี ยิ่งอายุยืนยาวมากขึ้นการต่อสู้เชื้อโรคยิ่งแย่ และหากมีโรคประจำตัวยิ่งน่าเป็นห่วง ดังนั้น ในกลุ่มเด็กมีการติดเชื้อโรคติดต่อทางเดินหายใจมากแต่อัตราการตายน้อย ส่วนผู้สูงอายุติดเชื้อไม่มากแต่อัตราการตายจำนวนมาก
“ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยลงทุกปี ปีที่ผ่านมาอัตราการเกิดลดลงถึง 11% เราจึงไม่ควรสูญเสียเด็กๆ อีก โดยเฉพาะจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ฉะนั้น มีความจำเป็นที่ต้องวัคซีนในเด็ก ไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และต้องอาศัยภูมิของแม่ที่ฉีดวัคซีนและส่งไปให้ลูก ส่วน RSV มีการวิจัยพบว่าเด็กฉีดวัคซีนทำให้เสียชีวิตมากขึ้น ทำให้มีการศึกษาวิจัยต่อและพบว่าฉีดวัคซีน RSV ในผู้ใหญ่และหญิงตั้งครรภ์จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันไปยังเด็ก”รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าว
อย่างไรก็ตาม การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้แข็งแรง นอกจากจะสามารถป้องกันการติดเชื้อจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลซึ่งมีมูลค่าที่สูง แม้จะรักษาในโรงพยาบาลรัฐก็ตาม ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพเด็กในระยะยาว และยังช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการที่พ่อแม่ต้องหยุดงานเพื่อมาดูแลลูกที่ป่วยอีกด้วย
“ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร” อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทุกช่วงอายุต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ ยิ่งผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวต้องได้รับวัคซีนให้ครบ และมีการฉีดกระตุ้นภูมิซ้ำ เพราะ เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยลง วัคซีนมีประโยชน์ในด้านช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ และ วัคซีนป้องกันอาการรุนแรงเมื่อเกิดการติดเชื้อได้
“จากกรณีดาราติดไข้หวัดใหญ่ แล้วมีภาวะแทรกซ้อนคือเกิดโรคปอดอักเสบ ทำให้เสียชีวิต เพราะเมื่อเชื้อลงปอดแล้วโรคมักจะรุนแรง ซึ่งในหลาย ๆ เคส เมื่อติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ส่งผลให้อาการยิ่งทวีคูณความรุนแรง ดังนั้นถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง แนะนำอย่างยิ่งให้ฉีดวัคซีนเพราะการป้องกันถูกกว่าการรักษา”ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
ในส่วนของโควิด-19 นั้น ตอนนี้เป็นโรคประจำถิ่นเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ จึงควรพิจารณาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพราะภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้ออาจไม่เพียงพอที่จะป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มเสี่ยงสูงที่ไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด 19 รวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง กับกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง พบว่ากลุ่มไม่ได้รับวัคซีนจะมีการติดเชื้อแล้วอาการรุนแรงมากกว่า เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อนั้นมีความหลากหลายและขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วย
“การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคทางเดินหายใจในผู้ใหญ่ หวังผลในการป้องกันปอดอักเสบเป็นหลัก เพราะเมื่อเป็นแล้วจะมีอาการรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล บางรายอาจมีการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย นำไปสู่การเสียชีวิต ดังนั้น ผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้มีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับโรคทางเดินหายใจอย่างน้อย 4 โรค ได้แก่ 1. ไข้หวัดใหญ่ 2. โรคติดเชื้อไวรัส RSV 3. โรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส และ 4.โควิด 19 "ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าว
วัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ
"นพ.นิรุตติ์ ประดับญาติ" ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วัคซีนที่บริษัทพัฒนาขึ้น ผ่านการศึกษาที่เข้มงวดและรัดกุม ตามมาตรฐานสูงสุด มีการตรวจสอบรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศทั่วโลก จนได้รับการขึ้นทะเบียน และมีกระบวนการเฝ้าระวัง ติดตาม และรายงานในเรื่องความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อมูลทางวิชาการที่หนักแน่น จึงให้ความมั่นใจได้ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพ และความปลอดภัย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีข้อมูลข่าวสารออกมามากมายตามสื่อต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความสับสน จึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร โดยหมั่นตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข้อมูลเชื่อถือได้ เช่นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข