เทรนด์เวชศาสตร์วิถีชีวิตมาแรง ลดเกิดโรค NCDs-อายุยืนยาว

เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) 6 เสาหลักช่วยลดอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases – NCDs) เพื่ออายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
KEY
POINTS
- อัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยคิดเป็นร้อยล
การประชุมวิชาการระดับชาติด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครั้งที่ 2 พ.ศ. 2568 “เวชศาสตร์วิถีชีวิต : จังหวะชีวิตเพื่ออายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ที่กรมอนามัยและหน่วยงานพันธมิตรจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDs) ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ผ่าน 6 เสาหลักด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตหรือ Lifestyle Medicine ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย นอนหลับ จัดการความเครียด การเลิกเหล้าและบุหรี่ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ปัจจุบันเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในประเทศไทย ท่ามกลางอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases – NCDs) ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาระด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แนวทางเวชศาสตร์วิถีชีวิตมุ่งเน้นการป้องกันและรักษาโรคผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการลดพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'วันอ้วนโลก' เกือบ 1 พันล้านคนเผชิญโรคอ้วน แนะปรับ 5 พฤติกรรมเสี่ยง
คนไทยเสียชีวิตจากโรคNCDs ร้อยละ 74
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคมะเร็ง และโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม อาทิ การบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และความเครียดสูง
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2565 ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 74 ของการเสียชีวิตทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยแนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการป้องกันโรค
6 เสาหลักป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
ทั้งนี้โรคไม่ติดต่อเรื้อรังสามารถป้องกันได้โดยใช้เวชศาสตร์วิถีชีวิตเป็นแนวทางหลักในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งประกอบด้วย 6 เสาหลัก ได้แก่
1. การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพ
4. การจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม
5. การเลิกบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
6. การสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี
เวชศาสตร์วิถีชีวิตและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนแล้ว ยังสามารถต่อยอดสู่เศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) และสอดคล้องกับแนวทาง Soft Power ของประเทศไทย ที่มุ่งส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิต และผลักดันให้เกิดการบูรณาการเวชศาสตร์วิถีชีวิตเข้ากับระบบบริการสุขภาพของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแนวทางการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2เข้าสู่ภาวะสงบ
หนึ่งในโรคNCDs ที่ค่อย ๆ ทำลายสุขภาพโดยไม่ทันรู้ตัวคือ โรคเบาหวาน ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงอื่น ๆ ภายในงานการประชุมวิชาการระดับชาติ “เวชศาสตร์วิถีชีวิต : จังหวะชีวิตเพื่ออายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ได้มีการส่งเสริมประชาชนผ่านกิจกรรม 6 เสาหลักด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตด้านการออกกำลังกายผ่านกิจกรรม “การออกกำลังกายคือยา : เวิร์คช็อบเพื่อเบาหวานระยะสงบ หยุดโรคความดันโลหิตสูง และการจัดการโรคอ้วน" (Exercise is Medicine: Workshop for DM remission,Stop Hypertension & Obesity management)
คนไทยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 6.5 ล้านคน เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus) เป็นระยะที่พบบ่อยที่สุด โดยปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ โรคอ้วน การขาดการออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ หากไม่ได้รับการควบคุมที่ดี อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคไต และปัญหาทางสายตา จึงต้องทำให้เบาหวานชนิดที่ 2 นี้ เข้าสู่ “โรคเบาหวานระยะสงบ” (Daibetes Remission)
ผศ.ดร.สุชาดา เสาเวียง อาจารย์ประจำวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การเป็นเบาหวานคือน้ำตาลในเลือดเกิน 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หากได้รับการยืนยันว่าเป็นเบาหวาน จะต้องปรับพฤติกรรมให้เกิด DM Remission หรือ ทำให้โรคเบาหวานอยู่ในระยะสงบ ระยะสงบต้องมีการเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนภายใน 3 ถึง 6 เดือน ลดน้ำหนักได้ประมาณ 10 ถึง 15% ของน้ำหนักตัว โดยคุมเช่นนี้ให้ได้ 3 เดือนขึ้นไปโดยที่ไม่มีการใช้ยาถึงจะเรียกว่าเบาหวานระยะสงบ
ออกกำลังกายลดน้ำตาลในเลือด
ตามทฤษฎีแล้ว การออกกำลังกายแบบ moderate-intensity endurance เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือวิ่งเหยาะ ๆ มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คือ การเพิ่มความไวของอินซูลิน (Insulin Sensitivity) โดยเมื่อกล้ามเนื้อทำงานมากขึ้น จะสามารถดูดซึมน้ำตาลจากกระแสเลือดไปใช้ได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งอินซูลินมากเกินไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
แบบมีแรงต้าน หรือ Resistance Training เป็นอีกรูปแบบของการออกกำลังกาย ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและพัฒนาสุขภาพโดยรวม การฝึกในลักษณะนี้ส่งผลดีต่อร่างกายในหลายด้าน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปรับปรุงความดันโลหิตและลดไขมันในเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อลาย ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวและเพิ่มความไวของอินซูลิน ซึ่งช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ทำให้โรคเบาหวานเข้าสู่ระยะสงบได้อย่างรวดเร็ว
Resistance Training ประกอบด้วย 6 ท่า ได้แก่ Arm Curl (Elbow Flexion/Extension) – การบริหารกล้ามเนื้อแขนโดยการงอและเหยียดข้อศอก,Overhead Press (Shoulder Press) – การยกน้ำหนักขึ้นเหนือศีรษะเพื่อเสริมความแข็งแรงของไหล่,Hip Adduction/Abduction – การเคลื่อนไหวขาเข้าหรือออกด้านข้างเพื่อบริหารกล้ามเนื้อสะโพก,Step (Hip and Knee Flexion/Extension) – การก้าวขึ้นลงที่ช่วยพัฒนาข้อต่อสะโพกและเข่า,Squat – ท่าบริหารขาและสะโพกที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา และ Plank – การค้างตัวในท่าคล้ายดันพื้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว
โดยทำต่อเนื่อง 30 วินาที จากนั้น พัก 30 วินาที ก่อนเริ่มท่าต่อไป โดยให้ทำครบ 5 รอบ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้รับการฝึกอย่างเต็มที่ ผู้ป่วยเบาหวานมาไม่เกิน 5 ปี จะทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบได้ อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงส่งผลดีต่อร่างกายสามารถทำได้โดยไม่ต้องพบแพทย์ที่โรงพยาบาล