เวชศาสตร์ความงามบูม! ปี 68 Green Beauty ฟื้นฟูผิว สวยรักษ์โลก
ปัจจุบันตลาดความงามไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 258,275 ล้านบาท เติบโต 11.6% โดยแบ่งเป็นสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยม 50,277.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และกลุ่มสินค้าทั่วไป 175,880.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55%
KEY
POINTS
- การดูแลตัวเองมากขึ้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่ไม่อยากให้ผู้บริโภคทำอะไรที่ดูโอเวอร์เกินไป ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ อยากให้อยู่ในกรอบของความงาม ทำเมื่อจำเป็น
- เด็กรุ่นใหม่ อย่าง GenZ , Gen Alpha ให้ความสนใจเรื่องการของการดูแลผิวพรรณตั้งแต่อายุยังน้อยๆ หลายคนเริ่มมาฉีดผิว Skin Booster ฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์
- สิ่งที่ผู้บริโภคควรทำต้องเริ่มจากศึกษาหาความรู้ว่าหัตถการ หรือศัลยกรรมที่จะทำ ,ศึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ,ตรวจสอบสถานพยาบาล และผลิตภัณฑ์ว่าจริงหรือปลอม
ปัจจุบันตลาดความงามไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 258,275 ล้านบาท เติบโต 11.6% โดยแบ่งเป็นสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยม 50,277.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และกลุ่มสินค้าทั่วไป 175,880.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55%
ขณะที่ มูลค่าตลาดเครื่องสำอางโดยรวมในปี 2567-2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 17.4% และ 12.9% ตามลำดับ แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 79% และตลาดส่งออกอีก 21% คาดว่า ปี 2567-2568 มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศ จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 13.0% และ 13.3% ตามลำดับ ซึ่งจะเข้าสู่ระดับที่สูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติโควิด เช่นเดียวกับมูลค่าส่งออกที่คาดว่าขยายตัวต่อเนื่องที่ 34.4% และ 11.7% ตามลำดับ
จากการคาดการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าตลาดความงามและตลาดเครื่องสำอางมีการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากตลาดความงาม และตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดสูง การเข้า-ออก ธุรกิจทำได้ง่าย ทำให้มีผู้ประกอบการเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น สะท้อนได้จากจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 16.9%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อัปเดต!! 'เทรนด์นวัตกรรมความงาม' เอสเทค ฟาร์มา ทุ่ม1,000 ล้านขยายตลาด
DPU หนุนคนไทยดูแลสุขภาพเชิงรุก ดันอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม
เทรนด์ความงามเน้นฟื้นฟู ชะลอวัย
“รศ.พิเศษ พญ.วิไล ธนสารอักษร” กรรมการและประชาสัมพันธ์สมาคมเวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงเทรนด์เวชสำอางและศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ในปี 2568 ว่าเทรนด์ความงามตั้งแต่ปี 2567 ไปจนถึงปี 2568 นั้น จะเน้นเรื่องของ Skin Booster (หัตถการที่ทำแล้วช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเซลล์ผิว) หรือการศัลยกรรมเสริมความงามที่เชื่อมโยงกับความอ่อนเยาว์จากเซลล์ภายใน
Green Beauty เวชสำอาง หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเทรนด์ความงามและเวชสำอาง ศัลยศาสตร์ผิวพรรณ จะเป็นการทำให้สวยแบบธรรมชาติ ใช้นวัตกรรมใหม่ที่ดูแลสุขภาพแบบองค์กรทั้งภายในและภายนอก เพราะทุกคนต่างเข้าใจดีว่าหากไม่ดูแลภายในให้แข็งแรงก็จะทำให้ภายนอกสวยได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
“ตอนนี้นวัตกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดเวชสำอาง และความงามผิวพรรณอย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากแก่ จะนิยมศาสตร์ชะละวัยหรือการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดเรือนริ้วรอย เพิ่มความอ่อนเยาว์ การดูแลโดยเน้นการให้คำปรึกษาควบคู่กับการทำหัตถการ อีกทั้งโรงพยาบาลเสริมความงาม หรือสถานเสริมความงามต่างพัฒนาและใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง โปรแกรม AI เข้ามาช่วยการวิเคราะห์ผิวพรรณ การรักษาเฉพาะบุคคลแบบองค์รวมมากขึ้น” รศ.พิเศษ พญ.วิไล กล่าว
ปัจจัยตลาดเวชสำอางและความงามโต
ปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่ อย่าง GenZ , Gen Alpha ให้ความสนใจเรื่องการของการดูแลผิวพรรณตั้งแต่อายุยังน้อยๆ หลายคนเริ่มมาฉีดผิว Skin Booster ฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ ขณะเดียวกัน ด้วยมาตรฐานการรักษา ทีมแพทย์ผู้เชียวชาญ และค่ารักษาพยาบาลที่ถูกเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน 3-4 เท่า ทำให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการเสริมความงาม เวชศาสตร์ชะลอวัย เวชสำอาง และศัลยกรรมในประเทศไทย
“รศ.พิเศษ พญ.วิไล” อธิบายต่อว่า ประเทศไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีนโยบายในการผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) รวมถึงฝีมือของแพทย์ ความเชี่ยวชาญ ราคา เครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้มาตรฐาน รวมถึงการมาอยู่ในประเทศไทยราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดเวชสำอางและความงามของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด
“แม้ตลาดเวชสำอาง ความงาม ศัลยกรรมและผิวพรรณ จะได้รับความนิยมอย่างมาก อีกทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของภาครัฐ และภาคธุรกิจมีคุณภาพไม่ได้ต่างกับผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคทำให้เวชสำอางไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เกิดจากการสร้างคุณค่าให้ผู้คนรู้จัก การนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการให้เข้าถึงผู้บริโภคยังมีจำกัด” รศ.พิเศษ พญ. วิไล กล่าว
ปี 68 ‘Green Beauty’ มาแรง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการทำหัตถการของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นการลงมีด(การผ่าตัด) อย่าง การเสริมจมูก เสริมหน้าอก ตัดกราม กับการไม่ได้ลงมีด เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การกรอผิว เลเซอร์ เทรนด์เหล่านี้ล้วนได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
“รศ.พิเศษ พญ.วิไล” กล่าวต่อว่า สำหรับปี 2568 มองว่าเทรนด์เวชสำอางและความงามที่มาแรง จะเป็นเรื่องของการชะลอวัย และGreen Beauty ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่25-30ปี พวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือการบริการแบบ Green Beauty มากขึ้น ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และลดการใช้เคมีมากขึ้น
“ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่องของการดูแลตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 20-43 ปี หลายคนมาฉีดโบท็อกซ์ ลดกรามเพราะเขามองว่าจะได้ไม่ต้องไปเหลากรามเมื่อโตมากขึ้น รวมถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศ LGBTQ+ และผู้ชายในกลุ่มGen Y มาใช้บริการมากขึ้น ทั้งเรื่องของการดูแลผิวพรรณ ฉีดผิว ชะลอวัย และการทำศัลยกรรม เพื่อให้ตัวเองดูดี มีความมั่นใจมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อดูดีขึ้น หลายคนก็มีโอกาสในหน้าที่การงานมากขึ้น “รศ.พิเศษ พญ.วิไล กล่าว
การดูแลความงามแต่ละช่วงวัย
ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เสริมความงาม และศัลยกรรมนั้น ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่อายุ 20 กว่าๆ พวกเขาจะเน้นเรื่องผิวพรรณความกระจ่างใส ส่วนอายุ 30 กว่าๆ จะเน้นเรื่อง Green Beauty และชะลอวัย ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยโลก ดังนั้น สกิลแคร์ ในกลุ่ม Whitening Product ,Anti-Aging ที่พวกเขาเลือกใช้ต้องมีส่วนผสมที่ไม่ทำร้ายโลก ลดหรือไม่มีสารเคมี และกลุ่มผู้สูงอายุ จะเน้นเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื่น
ด้านหัตถการที่ได้รับความนิยมในปี 2568 ในกลุ่มไม่ผ่าตัด อันดับ 1 จะเป็นโบท็อกซ์ซึ่งได้รับนิยมทั่วโลก รองลงมาจะเป็น ฟิลเลอร์ ไฮฟู และเทอร์มาจ รวมทั้งการฉีดผิวพรรณ ฟื้นฟูผิวโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ส่วนหัตถการที่ต้องผ่าตัด ที่ได้รับความนิยม จะเป็น การเสริมหน้าอก เสริมจมูก ดูดไขมัน ยกกระชับหน้าท้อง
ข้อควรรู้ก่อนศัลยกรรมความงาม
“รศ.พิเศษ พญ.วิไล” กล่าวอีกว่าก่อนเลือกหัตถการ หรือศัลยกรรมผิวพรรณนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคควรทำมี 4เรื่องหลักๆ คือ
1.ศึกษาหาความรู้ว่าหัตถการ หรือศัลยกรรมที่จะทำนั้นเป็นอย่างไร ต้องเตรียมพร้อมตัวเองอย่างไรก่อนไปทำ หลังทำ และถามตัวเองว่าอยากทำจริงๆ ใช่หรือไม่ เพราะการทำศัลยกรรมการแก้จะยากกว่าตอนทำใหม่ๆ
2.ต้องศึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นแพทย์จริงๆ ใช่หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันมีแพทย์ปลอมค่อนข้างมาก ควรตรวจสอบว่าเป็นแพทย์จริงๆ ที่เว็บไซต์ของแพทยสภา โดยการพิมพ์ชื่อ-นามสกุลและคุณวุฒิ
3.สถานพยาบาล ควรตรวจสอบว่าเป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล คลินิกต้องได้มาตรฐานตามกระทรวงสาธารณสุขและผ่านการรับรองหรือไม่ คลินิกสะอาด ห้องผ่าตัดได้มาตรฐาน หรือตรวจสอบในเว็บไซต์ ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และทางที่ดีควรจะเข้าไปพูดคุย ปรึกษากับแพทย์ ไปดูสถานพยาบาลจริงๆ
4.ผลิตภัณฑ์ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ว่าจริงหรือปลอม เพราะหากฉีดเข้าร่างกายแล้วติดเชื้อ ปัญหาจะตามมามหาศาล ต้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ขอดูกล่อง เช็กเลขทะเบียนอย.โดยเข้าไปตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์อย.
“ปี 2567 เป็นปีที่ผู้คนฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์จำนวนมาก คาดว่าปี 2568 จะเป็นปีสลายฟิลเลอร์ทิ้งในหน้าของคนไข้ และเติมใหม่ให้สวยธรรมชาติ หน้าอ่อนเยาว์ลง ฉะนั้น การดูแลตัวเองมากขึ้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแต่ไม่อยากให้ผู้บริโภคทำอะไรที่ดูโอเวอร์เกินไป ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ อยากให้อยู่ในกรอบของความงาม เพราะตอนนี้บางคนเสพติดความงาม ฉีดทุกอย่างจนเกินความจำเป็น และไม่อยากให้เสพติด อยากให้ทำเมื่อจำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ที่มากกว่า 2 คน ให้รับการดูแลรักษาแต่พอเพียง” รศ.พิเศษ พญ.วิไล กล่าวทิ้งท้าย