เช็กสัญญาณเตือน! ร่างกายป่วย สุขภาพเริ่มแย่ ต้องรีบพบแพทย์

เช็กสัญญาณเตือน! ร่างกายป่วย สุขภาพเริ่มแย่ ต้องรีบพบแพทย์

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติในระบบอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแล ถูกปล่อยผ่าน อาจนำไปสู่โรคร้ายได้

KEY

POINTS

  • หากร่างกายมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย และเป็นระยะเวลานาน อย่าปล่อยทิ้งไว้ ต้องสำรวจร่างกายและสังเกตอาการต่างๆ แล้วรีบพบแพทย์
  • 12 สัญญาณเ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติในระบบอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแล ถูกปล่อยผ่าน ไม่คิดว่าจะเป็นอาการป่วย ทั้งที่ความผิดปกติของร่างกายเหล่านั้น อาจนำมาสู่โรคร้ายแรงได้ 

ยุคที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเร่งรีบ มลพิษทางอากาศ การรับประทานอาหาร และการไม่ออกกำลังกาย ล้วนก่อให้เกิดโรค การเข้ารับ "การตรวจสุขภาพ"จึงถือเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นการป้องกันการเกิดโรคในระยะยาวแล้ว หากตรวจพบโรคตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ก็สามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที ทำให้มีโอกาสหายขาดได้

หลายครั้งเราอาจหลงลืมดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วสัญญาณเตือนของร่างกายแบบใด ที่บ่งบอกว่าร่างกายเราเริ่มป่วย สุขภาพเราเริ่มแย่ มาร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เช็กด่วน! 10 โรคแปลกทางจิต ที่มีอยู่จริง

ป้องกัน 'สุขภาพเพศ' ผิดปกติ ไม่สบายใจ ปรึกษาด่วน อย่าอายหมอ

สังเกต "ร่างกาย"อาการแบบไหน? บ่งบอกสุขภาพแย่

การที่สุขภาพแย่ลงหรือสุขภาพไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่ในสภาพที่เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายรูปแบบ ทำให้เราอาจคิดไม่ถึงว่าขณะนี้สุขภาพแย่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจกับสัญญาณเตือนจากร่างกายสักหน่อย เพื่อที่จะได้เตือนให้เราแก้ไขได้ทันเวลา โดยอาการที่สามารถสังเกตได้ว่าสุขภาพของเราเริ่มแย่ลง  อาทิ 

1.  นอนหลับยากบ่อย

การนอนหลับยากบ่อยหรือนอนไม่หลับต่อเนื่องกันหลายคืน อาการเช่นนี้คล้ายคนเป็นเบาหวาน

2.  ผิวพรรณไม่ดีมีริ้วรอย

ผิวหยาบกร้าน มักเป็นกระหรือจุดด่างดำง่าย เป็นผดผื่นบ่อย ผมร่วง เพราะร่างกายขาดสารอาหารจำพวกวิตามินอี ขาดไบโอติน

3.  ปวดหัวบ่อย ๆ

การนอนไม่พอก็อาจส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะได้ อย่าได้นิ่งนอนใจควรสังเกตตัวเองว่าปวดบ่อยหรือไม่ มีอาการข้างเคียงอื่นๆ หรือเปล่า เช่น หน้ามืด ตาลาย อาเจียน อาการปวดศีรษะนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิตได้หลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมองโรคเนื้องอกในสมอง

4.  มีอาการตาเหลือง

ตัวเหลือง อาจเป็นโรคตับอักเสบหรือดีซ่าน ต้องรู้จักสังเกตและรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาให้ทัน

5.  ท้องเสียบ่อย

อาการท้องเสีย ท้องผูกบ่อย หรือท้องผูกสลับท้องเสียเป็นภาวะแปรปรวนของระบบขับถ่ายที่ทานอะไรนิดหน่อยก็ท้องไม่ดี ทานอาหารตามปกติแต่ตอนเช้าไม่ขับถ่าย ถ้ามีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ อย่าคิดว่าธรรมดา เพราะคุณอาจป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือโรคไตได้

6.  เบื่ออาหาร

อาการเบื่ออาหารอาจเป็นสัญญาณโรคตับ วัณโรค และอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยไม่สบายได้ เพราะร่างกายอ่อนแอและไม่มีภูมิต้านทาน

7.  ปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นคอ

อาการปวดหลัง ปวดเอวและปวดต้นคออาจมีสาเหตุมาจากการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ก็หักโหมกับการทำงานมากเกินไปจนกล้ามเนื้อล้า

8.  น้ำหนักเพิ่มหรือลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ

การที่น้ำหนักเพิ่มหรือลดลงเร็วผิดปรกติอาจเป็นสัญญาณบอกโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ โรคเกี่ยวกับไต หรือโรคมะเร็ง

9.  มีอาการเหน็บชาและเหนื่อยง่าย

     เป็นเหน็บชาหรือตะคริวบ่อย ๆ อาจขาดวิตามินบี 1 จึงควรกินเต้าหู้ รำข้าว ตับ และข้าวซ้อมมือเป็นประจำ บางรายอาจมีอาการเหนื่อยง่ายร่วม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการไม่เคยออกกำลังกายหรือออกกำลังกายน้อย 

10.  สีของปัสสาวะเป็นสีเหลืองจัด

สีของปัสสาวะที่เหลืองจัดเป็นไปได้ว่าดื่มน้ำน้อยเกินไป หรืออาจเป็นสัญญาณบอกอาการของโรคดีซ่าน แต่ถ้าสีเหลืองจัดเข้มข้นจนเป็นสีกาแฟแสดงว่ากินยาบางอย่างมากเกินไป หรืออาจเป็นวัณโรคได้

11. ระคายคอ

อาการระคายคอ เจ็บคอ หรือไอบ่อยๆ อาจมีปัญหาที่ระบบหายใจ อาจเป็นภูมิแพ้หรือกำลังเป็นหวัด

12.  อ่อนเพลียง่าย ไม่มีกำลังวังชา

มือไม้สั่น อารมณ์แปรปรวนง่ายอาจเป็นไปได้ว่าต่อมไทรอยด์ผิดปกติ บางรายอาจมีอาการขี้หลง ขี้ลืม บ่อยๆ สมองและระบบประสาทไม่ดี อาจเพราะขาดสารอาหารบำรุงสมอง

เตือนสุขภาพเด็กที่พ่อแม่ควรรู้

คุณเคยสงสัยไหมว่าอาการบางอย่างของลูกคือเรื่องปกติ หรือเป็น สัญญาณเตือนสุขภาพเด็ก ที่ต้องรีบดูแล?

1. อาการป่วยเด็กที่พบบ่อย

การเข้าใจอาการป่วยเป็นก้าวแรกของการดูแลสุขภาพลูกให้ปลอดภัย

อาการที่ไม่ควรละเลย

  • ไข้สูงไม่ลด: ถ้าลูกมีไข้เกิน 38.5°C และกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง
  • ไอเรื้อรังหรือไอจนหอบเหนื่อย: เสียงไอที่ฟังดูลึกหรือทำให้เด็กหายใจลำบาก หน้าอกบุ๋ม
  • ท้องร่วงอย่างรุนแรง: ถ้าลูกถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งในวันเดียวหรือ ถ่ายมี มูกเลือดปน
  • มีอาการแพ้ หลังทานอาหารหรือทานยา : ผื่นขึ้น ปากบวม ตาบวม หายใจลำบาก

ควรทำยังไง?

  • ให้ลูกดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • สังเกตการหายใจที่ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจ ปลายมือปลายเท้าเขียว
  • สังเกตสีของปัสสาวะ ถ้าสีเข้มหรือ ปัสสาวะไม่ออก, ออกน้อย ควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • หากอาการไม่ดีขึ้น พาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด

2. อาการภูมิแพ้รุนแรงในเด็ก

อาการที่ต้องเฝ้าระวัง

  • ผื่นแดงขึ้นทั่วตัวอย่างรวดเร็ว
  • หายใจลำบาก หรือเสียงหายใจดังวี๊ด
  • บวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก หรือคอ

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

  • หากลูกมีอาการรุนแรง โทรหา 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทันที
  • ใช้ยา EpiPen (ถ้ามี) ตามคำแนะนำของแพทย์

3. การดูแลสุขภาพเด็กให้แข็งแรง

ป้องกันดีกว่ารักษา! การสร้างสุขภาพที่ดีให้ลูกเริ่มต้นได้ง่ายๆ ในทุกวัน

  • โภชนาการที่ดี : ให้ลูกกินอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ และโปรตีน
  • ออกกำลังกาย: พาลูกเล่นกีฬาเบาๆ เช่น วิ่งเล่น หรือขี่จักรยาน
  • การนอนหลับ: ควรให้ลูกนอนอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงทุกคืน

4. อาการแพ้อย่างเฉียบพลัน

บางครั้ง อาการแพ้อย่างเฉียบพลัน อาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่ส่งผลใหญ่หลวงได้

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

  • เด็กทานอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วแล้วมีผื่นขึ้น
  • เด็ก ทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งสาลี แล้ว ปากบวมหน้าบวม หายใจไม่สะดวก
  • ลูกเล่นกับแมวแล้วเริ่มไออย่างหนัก

แนวทางการดูแล

  • ใช้ยาต้านฮิสตามีน (เช่น Loratadine) เพื่อลดอาการเบื้องต้น
  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ทันที
  • นำลูก ไปยังโรงพยาบาลไกล้บ้านทันที

5. เมื่อต้องพาลูกแอดมิทโรงพยาบาล

ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แต่บางครั้ง การ พาลูกแอดมิทโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สัญญาณที่ต้องรีบพาเด็กไปโรงพยาบาล

  • ไข้สูงต่อเนื่อง
  • อาเจียนหรือท้องร่วงรุนแรงจนลูกหมดแรง
  • หายใจติดขัด

วิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่าเสี่ยงเป็นโรคร้าย

1. สังเกตดูคุณเคยรู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งตัวจนก้าวเท้าแทบไม่ออก เหงื่อออก ตัวเย็นไหม

  • หากเคยแล้วมีอาการหิวน้ำบ่อย ถ่ายปัสสาวะบ่อย แต่ไม่ใช่เพราะเมาค้าง อาจเป็นโรคเบาหวาน แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานจะไม่มาก แต่ผู้เสียชีวิตด้วยอาการแทรกซ้อนกลับมีไม่น้อย เช่น ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง อัมพาต และโรคหัวใจขาดเลือด
  • ดังนั้น จึงไม่ควรประมาท ต้องรีบตรวจรีบรักษา ควบคุมอาหารแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนรุนแรง

2. สังเกตดูคุณเคยเวียนศรีษะขณะนั่งรถ หน้ามืด ตาลาย ต้องยืนเกาะราวเอาไว้ไหม

  • หากเคยคุณอาจมีอาการของโรคโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก การสูญเสียธาตุเหล็กไปกับเลือด พบได้ในสตรีมีประจำเดือน สตรีขณะตั้งครรภ์ เลือดออกในกระเพาะอาหาร ริดสีดวงทวารเรื้อรัง เป็นต้น ซึ่งอาการของผู้ป่วยจะมีสีผิวซีด มึนศีรษะ ใจสั่น เหนื่อยง่าย มุมปากเปื่อย
  • การป้องกันทำได้แต่ต้องหาสาเหตุที่ทำให้เสียเลือด และรักษาตามสาเหตุนั้น ซึ่งแพทย์จะให้ยาบำรุงซึ่งมีธาตุเหล็กเพื่อกินทดแทนเป็นเวลานานติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็ควรเลือกกินอาหารที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กสูง เช่น ตับ ไข่แดง ปลาแห้ง ผักปวยเล้ง เป็นต้น

3. สังเกตดูคุณเคยขาอ่อนแรง รู้สึกเลือนรางหรือแปลกแยกจากคนอื่นไหม

  • หากเคยคุณอาจเป็นโรคจิตเภท ลักษณะอาการคือคุณรู้สึกเหมือนกับมีอำนาจลึกลับบางอย่างสั่งการ ควบคุม หรือจะทำร้ายตนเองตลอดเวลา เห็นลำแสงพิเศษส่งพลังมาบังคับ ได้ยินอวัยวะของตนเองพูดได้ หูแว่วเสียงคนนินทาว่าร้ายทั้งที่อยู่คนเดียว
  • ได้กลิ่นผิดปกติทั้งที่ความจริงไม่มี อาจเป็นโรคจิตเภท ซึ่งมักเกิดจากมีความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่ผิดปกติ ปราศจากความสุข โดยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้พัฒนาการด้านจิตใจผิดปกติ ดังนั้นป้องกันได้โดยการเสริมสร้างบรรยากาศในครอบครัวให้อบอุ่น

ตรวจร่างกาย หากเป็นบ่อยๆ เป็นนานๆ อาจมีโรคร้ายซ่อนอยู่

อาการคันเรื้อรัง คันนาน ๆ อาจมีโรคร้ายซ่อนอยู่

  • อาการคันความจริงแล้วมีหลายแบบและหลายสาเหตุ แต่ที่น่าเป็นห่วงเลยก็คืออาการ คันเรื้อรัง ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับตับและไตของเราได้ นอกจากนี้ยังอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคที่เกี่ยวกับระบบเลือด โลหิตจาง โรคเบาหวาน โรคจากต่อมไร้ท่อ หรือร้ายกว่านั้นอาจเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้
  • ดังนั้นหากมีอาการ คันเรื้อรัง นานกว่า 1 สัปดาห์ จนถึงหลายเดือน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และการพักผ่อนของคุณ แนะนำให้คุณพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ และทำการรักษาเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

เจ็บหน้าอก อาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ

  • เจ็บแปลบที่หน้าอกสัญญาณลับเริ่มต้นของปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยภาวะนี้อาจเป็นอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงฉับพลันอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ หากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนมาเลี้ยงไม่เพียงพออาจทำให้เกิดอาการเจ็บ แน่น หรือรู้สึกเหมือนถูกกดหรือทับที่หน้าอก
  • อาการอาจลุกลามไปยังแขน หัวไหล่ คอ ขากรรไกร หรือหลังได้ ซึ่งภาวะนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้อาการเจ็บหน้าอกก็ยังสามารถยังบ่งบอกได้ถึงอีกหลายโรค เช่น กรดไหลย้อน การมีลิ่มเลือดอุดตันในปอด การอักเสบของตับอ่อน โรคหอบ การบาดเจ็บของกระดูกซี่โครงหรือมีรอยช้ำ หรือกระดูกหัก เป็นต้น

นอนไม่หลับ จุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรง

  • อาการ นอนไม่หลับ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และเสี่ยงต่อการเป็นโรคลำไส้อักเสบ ที่มาของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และอีกหลาย ๆ โรคตามมา แรกเริ่มของอาการนอนไม่หลับนั้นเกิดจากการนอนไม่เพียงพอ เนื่องด้วยไลฟ์สไตล์ การทำงาน อ่านหนังสือสอบจนดึก กินเที่ยว ปาร์ตี้ และการใช้ชีวิตแบบคนสมัยใหม่ที่แตกต่างกัน
  • เมื่อสะสมนานวันเข้าก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะตื่นสาย กลิ่นตัวแรง มีอาการเครียด หงุดหงิดง่าย และสุดท้ายก็คืออาการนอนไม่หลับเรื้อรัง เพราะร่างกายและสมองชินต่อการนอนดึก จนทำให้พ่วงปัญหาสุขภาพด้านอื่นตามมา ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจให้มาก เพราะหากโรคใดโรคหนึ่งมาเยือนคุณแล้ว ทรมานทั้งร่างกาย เสียเงินจ่ายค่ารักษา เสียการเสียงาน หรือการเรียนอีกซึ่งไม่คุ้มเลย

เหนื่อยง่าย ทำไมขยับตัวนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว

  •  หากคุณรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ ให้ลองเปรียบเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันในกิจกรรมที่ทำ เช่น เดิน ยกของ หรือออกกำลังกายเหมือนกัน ลองเทียบการเดิน 100 เมตร แต่ก่อนไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ แต่ตอนนี้ละเหนื่อยลิ้นห้อย
  • นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณอาจมีความผิดปกติของสุขภาพที่ส่งสัญญาณเตือนว่าคุณอาจจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นสาเหตุอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคปอด โรคโลหิตจาง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ และโรคของประสาท ก็มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน โดยผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเหนื่อยง่ายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

ไอเรื้อรัง ไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการของปัญหาสุขภาพ

  • ไอเรื้อรัง คืออาการไอที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยผู้ใหญ่มักจะมีอาการไอติดต่อกันเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ขึ้นไป และเด็กจะมีอาการติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งนั่นอาจสัญญาณของโรคร้าย บอกถึงปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ปอด หรือภายในท้องก็เป็นไปได้
  • สำหรับสาเหตุหลักของอาการไอเรื้อรังมีหลากหลายอาการ อาทิเช่น น้ำมูก หรือเสมหะไหลลงคอ โรคหืด โรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและกล่องเสียง หลอดลมอักเสบ การติดเชื้อ และการสูบบุหรี่ ให้สังเกตุว่าหากการไอเรื้อรังรบกวนการใช้ชีวิตของคุณ ทั้งการทำงาน การเรียน หรือการนอน แนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาดีกว่าปล่อยทิ้งไว้

เบื่ออาหาร น้ำหนักลด จุดเริ่มต้นของโรคร้าย

  • ความจริงแล้วอาการเบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย สาเหตุหลักอาจมาจากปัญหาสุขภาพจิต เครียดจากสภาวะต่างๆ เช่น ความรัก การงาน การเงิน หรือสังคมรอบๆ ตัว แต่หากให้มองลึกลงไปอีกหากคุณเริ่มมีอาการ รู้สึกไม่เจริญอาหาร อยากอาหารน้อยลง ของกินที่เคยชอบกลับไม่ชอบ ไม่อยากกิน รวมถึงน้ำหนักตัวลดลง ก็อาจมีความเสี่ยงของสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายแรงก็เป็นไปได้
  • โดยโรคที่เป็นปัจจัยให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งตับอ่อน ตับวาย ไตวาย ตับอักเสบ ติดเชื้อเอชไอวี ไข้เลือดออก เป็นต้น แน่นอนว่าหากปล่อยไว้ก็คงไม่ดีแน่ หากไม่อยากให้โรคร้ายเหล่านี้ลุกลามจนยากที่จะรักษา

เต้านมมีความผิดปกติ เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

  • สำหรับคุณผู้หญิง หากบริเวณเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ เช่นมีก้อนเนื้อใหม่เกิดขึ้น เต้านมมีอาการบวม ผิดรูปไปจากเดิม และรู้สึกเจ็บ ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษา หาสาเหตุและทำการรักษาก่อนที่จะลุกลาม เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของโรคมะเร็งเต้านม โรคร้ายที่หลายคนหวาดกลัว
  • นอกจากนี้ไม่ใช่แค่คุณผู้หญิงที่มีโอกาสเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็งเต้านม คุณผู้ชายก็มีโอกาสป่วยเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน แต่มักพบได้น้อยมากและส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ ถึงอย่างไรก็ตาม เราควรหมั่นดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายกินอาหารที่มีประโยชน์ และสำคัญเลยคือตรวจสุขภาพร่างกายอยู่เป็นประจำนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตที่มีความสุข

ถ่ายเป็นเลือด อาจร้ายแรงมากกว่าเป็นริดสีดวง

  • ถ่ายเป็นเลือดปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ หากวันหนึ่งคุณเข้าห้องแล้วการถ่ายครั้งนั้นมีเลือด หรือลิ่มเลือดปนออกมาด้วย ซึ่งนั่นคือสัญญาณอันตรายของปัญหาสุขภาพที่มากดกระดิ่งเรียกคุณถึงประตูหน้าบ้านเลยล่ะครับ
  • โดยอาการถ่ายเป็นเลือดสามารถบ่งบอกถึงการบาดเจ็บที่อวัยวะในระบบย่อยอาหารอย่างลำไส้ใหญ่ ไส้ตรง และทวารหนัก กล่าวได้ว่าคุณอาจเสี่ยงที่จะเป็นโรค ริดสีดวงทวาร ลำไส้ใหญ่อักเสบ ภาวะลำไส้ขาดเลือด หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งคงไม่มีใครอยากจะให้เกิด
  • เพราะฉะนั้นหากคุณมีอาการดังกล่าวแล้วก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นะครับ ควรพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาจะดีกว่า

เท้าบวม สัญญาณเตือนโรคหัวใจ

  • แม้ว่าอาการเท้าบวมจะสามารถบ่งบอกได้ถึงหลากหลายสาเหตุของโรค อาทิเช่น มีอาการบาดเจ็บที่เท้า หรือข้อเท้า ภาวะบวมน้ำเหลือง ลิ่มเลือดอุดตัน การติดเชื้อ หลอดเลือดดำบกพร่อง จากที่กล่าวมาฟังดูแล้วอาจจะไม่อันตรายมาก แต่ก็ควรสังเกตุอาการเพิ่มเติม
  • เพราะอาจเป็นจุดเริ่มต้นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคตับ หรือโรคไต หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการบวมที่บริเวณเท้าได้
  • โดยอาการบวมนั้นเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดน้ำและเกลือออกจากร่างกายได้หมด และเมื่อร่างกายมีของเหลวส่วนเกินสะสมอยู่มากเกินไป แรงโน้มถ่วงจะดึงให้น้ำส่วนเกินลงมาอยู่ที่เท้า จนทำให้ข้อเท้า และเท้าเกิดอาการบวมได้

อย่างไรก็ตาม การรู้ทัน สัญญาณเตือนสุขภาพ พร้อมวิธีดูแลตัวเองในทุกสถานการณ์ ตั้งแต่อาการป่วยเบื้องต้นจนถึงเมื่อมีอาการรุนแรงมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์ อย่าปล่อยไว้ หรือไปหาซื้อยาทานเอง

อ้างอิง : โรงพยาบาลรามคำแหง,โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ,เมืองไทยประกันชีวิต ,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล