ผลประโยชน์และเม็ดเงิน มาจาก ‘สุราเสรี’
รัฐสภาผ่านวาระปลดล็อกสุราก้าวหน้าและกัญชาเสรี คือสายลมแห่งความก้าวหน้าและความหวังที่จะพัดเม็ดเงินเข้าประเทศผ่านท้องถิ่นสู่ปากท้องของชาวบ้านคนธรรมดา
แน่นอนว่า กัญชาเสรี นั้นยังเป็นที่ถกเถียงถึงผลกระทบโดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข แต่หากมีกฎหมายลูกและการจัดการที่ดี กัญชาเสรีน่าจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่จะดึงดูดเม็ดเงินอย่างมหาศาลเข้าประเทศในยามที่เรามีความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจอย่างมากจากวิกฤติโควิดได้
ขณะที่สุราก้าวหน้านั้น ทุกคนล้วนมีความเห็นตรงกันว่า มีข้อดีมากกว่าข้อเสียอย่างท่วมท้น จนกระทั่งเกิดเป็นความร่วมมือของทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล (บางคน) ที่สนับสนุนการปลดล็อกครั้งนี้ เกิดเป็นความร่วมมือของทั้งสองฝั่งอย่างไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย (Bipartisan) เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
นักการเมืองที่ฉลาดรับรู้ทิศทางลมแห่งความเปลี่ยนแปลงมักจะเลือกผลประโยชน์ของประชาชนและฟังฐานเสียงของประชาชนในพื้นที่ก่อนโหวตเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเมืองในประเทศที่เจริญแล้วอย่าง สหรัฐ หรืออังกฤษนั้น จึงมีนักการเมืองที่โหวตต่างจากมติพรรคหากตนเห็นว่ามติพรรคขัดต่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือมีแนวโน้มที่จะทำให้ท้องถิ่นที่ตนได้รับเลือกมานั้นเกิดความเสียหาย
ประชาชนคนไทยเบื่อกับสุราและเบียร์ไทยที่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดของการบริโภคเบียร์ในประเทศกว่า 93% ขณะที่ตลาดสุรานั้น ถูกผูกขาดโดยยักษ์ใหญ่เจ้าเดียวถึง 80% การผูกขาดในระบบโดยมีกฎหมายเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก ทำให้เกิดการกระจุกตัวของเม็ดเงินและเป็นตัวถ่วงนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เมื่อไม่มีคู่แข่ง ลูกค้าจึงไม่มีทางเลือก ก็หยุดคิดพัฒนาสิ่งใหม่
ประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลกนั้น ล้วนปลดล็อกสุราเสรีทั้งสิ้น เพราะสุราเสรีนั้นแท้จริงแล้วดีกับระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เพราะเป็นการเพิ่มตัวเลือกการบริโภคให้แก่นักดื่มในประเทศ และถ้าทำให้ดีก็สามารถเป็นสินค้าส่งออกได้ อาทิ วิสกี้ที่ดีควรมาจากสกอตแลนด์ เบียร์ดีต้องมาจากเบลเยียมหรือเยอรมนี ไวน์ดีต้องมาจากฝรั่งเศสหรืออิตาลี สาเกก็ต้องยกให้ญี่ปุ่น เป็นต้น
รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดก็คือเกาหลีใต้ ที่เพิ่งปลดล็อกสุราเสรีก่อนเราไม่นาน หลังจากปีที่ปลดล็อกธุรกิจคราฟต์เบียร์นั้นเติบโตขึ้นถึง 3,300 ล้านบาทคิดเป็น 2 เท่าจากปีก่อนหน้าและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 10,000 ล้านบาทในปี 2566
สุราเสรีสามารถดึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ กรณีศึกษาที่ชัดที่สุดคือ เยอรมนี ซึ่งอัตราภาษีและการควบคุมจากรัฐต่ออุตสาหกรรมนี้อยู่ในระดับต่ำมากจึงทำให้เบียร์เยอรมันถูกกว่าน้ำเปล่า ทำให้เกิดโรงงานเบียร์หลากหลายขนาดและมีจำนวนมากมายถึง 1,500 แห่ง ภายใต้ผู้ผลิตกว่า 900 ราย เกิดเป็นแบรนด์กว่า 5,500 แบรนด์ที่ส่งขายทั่วประเทศและทั่วโลก
มีการคาดการณ์ว่า เยอรมนีมีรายได้จากการส่งออกสุราและเบียร์กว่า 37,500 ล้านบาท และหากนับรวมภาษีตั้งแต่ต้นน้ำการผลิตจนกระทั่งถึงปลายน้ำที่เบียร์หรือสุราอยู่ในมือผู้บริโภคปลายทางแล้ว รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้สูงถึง 6,500 ล้านยูโร (236,500 ล้านบาท) เลยทีเดียว ไม่รวมถึงจำนวนการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของระบบกว่า 480,000 อัตรา
สุราเสรี จะช่วยให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่นหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ท้องถิ่นนั้นๆ มีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะมาเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น สาเกของญี่ปุ่นที่มักจะนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาแปรรูปและขายเฉพาะในท้องถิ่นจนกลายเป็นของฝากที่โด่งดัง
หรือกรณีพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างน้ำบริสุทธิ์ใน Highland ของสกอตแลนด์ที่นำมาใช้ทำวิสกี้จนเป็นที่โด่งดังทั่วโลก หรือแม้กระทั่งกรรมวิธีการหมักที่เป็นเอกลักษณ์ของเบียร์ที่หมักโดยนักบวชอย่าง Trappist ของเบลเยียมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นต้น
จึงไม่มากเกินไปหากจะกล่าวว่า สุราเสรี คือ สายลมแห่งความก้าวหน้าและความหวังที่จะพัดพาเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่กระเป๋าของชาวบ้านคนธรรมดาที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำผลิตภัณฑ์