"ถ้ำลอดปางมะผ้า" ที่เที่ยวแม่ฮ่องสอน ประติมากรรมจากสายน้ำและหินปูน
"ถ้ำลอดปางมะผ้า" ภูเขาหินปูนที่มีเพดานถ้ำสูง สายน้ำทั้งสายไหลลอดออกไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา ด้านในมีหลืบถ้ำ หินงอกหินย้อยสวยงาม และที่นี่พิเศษตรงที่หลืบถ้ำบางหลืบ เคยถูกใช้ประโยชน์ในเชิงสังคมความเชื่อเรื่องความตาย
หินปูนก่อเกิดมาจากใต้ทะเลจากการทับถมกันของสัตว์และสิ่งมีชีวิตในทะเลเมื่อนับล้านๆ ปีก่อน เมื่อแผ่นดินถูกยกตัวขึ้น หินปูนเหล่านี้จึงมาปรากฏอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในรูปของภูเขาหินปูน ตามที่พวกเรารู้กันอยู่แล้ว โดยที่ยังมีหลักฐานเป็นซากสิ่งมีชีวิตในทะเลในยุคนั้นติดขึ้นมาในรูปของฟอสซิล เช่น ปะการัง สัตว์ทะเลอื่นๆ ฟิวซูลีนิค (สิ่งมีชีวิตในทะเลขนาดเล็ก) ต่างๆ ฯลฯ เมื่อหินปูนที่เคยอยู่ใต้ทะเล ถูกยกตัวขึ้นมาจนเป็นภูเขาแล้ว ก็ใช่ว่าจะคงอยู่แค่นั้น โลกยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย แผ่นเปลือกโลกที่เคยเบียด ชนกันแล้วดันพื้นที่บางส่วนขึ้นมา ก็ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนสภาพภูมิประเทศมีการเปลี่ยนไปหลายอย่าง
เขตอำเภอปางมะผ้า ของ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถ้าท่านผู้อ่านลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเกี่ยวกับแผนที่ภูมิประเทศมา แล้วลองดูในบริเวณปางมะผ้า ดูแบบสามมิติ จะเห็นว่า พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาหินปูนอยู่เกือบทั่วบริเวณ บริเวณที่เป็นที่ราบเชิงเขาหรืออยู่ระหว่างภูเขา ก็จะถูกจับจองตั้งเป็นชุมชน ชุมชนปางมะผ้า จึงเป็นชุมชนเล็กๆ กระจายกันไป
แม่น้ำลางเกิดมาจากขุนดอยในแถบหัวลาง แล้วไหลซอกซอนไปมาเลาะเหลี่ยมภูเขาหินปูนต่างๆ ถึงบ้านน้ำลอดถึงลอดทะลุภูเขาหินปูนออกไปอีกด้าน ก่อนจะไหลไปรวมกับน้ำปาย แล้วไปลงสาละวินออกอ่าวเมาะตะมะ มหาสมุทรอินเดียโน่น
ผมว่า ถ้าลำน้ำลางไม่ปรากฏกายขึ้นมาบนผิวโลก แต่ยังเป็นระบบน้ำใต้ดิน ที่ไหลลอดผ่านโครงสร้างหินปูน แล้วช่วงหนึ่งถึงผุดออกมา แบบที่ธารโบกขรณี หรือลำคลองงู หรือที่ไหนๆ ก็ตามที่เป็นน้ำมุด น้ำลางก็จะเป็นน้ำผุด แต่เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาบนผิวโลก แล้วเจอกับภูเขาหินปูนที่ขวางอยู่ น้ำก็จะกัดเซาะหินปูนอยู่ชั่วนาตาปี ประกอบกับหินปูนพอถูกดันขึ้นมาเป็นภูเขา ก็ไม่อยู่แค่นั้นยังถูกโลกปรับเปลี่ยนอีกหลายครั้ง จนกลายเป็นโพรงถ้ำพอน้ำละลายหินปูนจนลอดเข้าไปทะลุออกอีกด้าน
ปากทางที่น้ำลางไหลลอดภูเขาหินปูน
ในช่วงที่เป็นโพรงถ้ำ เมื่อฝนตกลงมา น้ำฝนก็จะละลายหินปูนแล้วพากันไหลลงมาตามรอยแตกแล้วค่อยๆ สะสมตัวเป็นรูปร่าง คือถ้าลงมาจากเพดานก็จะเป็นหินย้อย ถ้าหยดตกลงมาบนพื้น แล้วค่อยๆ สะสมตัวกันก็จะเป็นหินงอก น้ำหินปูนที่หยดลงมา พอตกถึงพื้นก็แตกกระเด็นออกไปเกาะตัวกันเป็นก้อนๆ ก็จะเป็นหินปูนน้ำกระเด็น ใหญ่ขึ้นมาก็เป็นน้อยหน่าถ้ำ ที่ไหลย้อยออกมาตามผนังถ้ำ ก็รวมตัวเป็นพู่ถ้ำบ้าง เป็นทำนบถ้ำบ้าง แล้วแต่จะเรียกกัน (แต่นักธรณีพยายามจะให้ใช้ชื่อไทยรียกแบบเดียวกัน จะได้เข้าใจตรงกัน)
บรรดาแพที่พาลอดถ้ำน้ำลอด
ตัว ถ้ำลอดปางมะผ้า ก็จะมีลักษณะแบบที่ว่ามาทั้งหมด คือเป็นภูเขาหินปูน ที่มีเพดานถ้ำสูง น้ำลางทั้งสายไหลลอดออกไปอีกด้านหนึ่งของภูเขา แล้วด้านในจะมีหลืบถ้ำ ที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามตามสไตล์ถ้ำหินปูนทั่วไป แต่ที่นี่พิเศษตรงที่ หลืบถ้ำบางหลืบ เคยถูกใช้ประโยชน์ในเชิงสังคมความเชื่อเรื่องความตาย เพราะปรากฏว่ามีโลงไม้โบราณ ที่เรียกว่า โลงผีแมน ซุกซ่อนอยู่ในหลืบถ้ำด้วย ถ้ำนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะมีคนอยู่อาศัยแม้เป็นในสมัยที่คนยังอาศัยในถ้ำก็ตาม เพราะพื้นถ้ำเป็นน้ำ หลืบถ้ำทั้งหลายก็ไม่ได้กว้าง บางแห่งต้องปีนป่ายขึ้นไป มนุษย์ที่พัฒนาการมาเป็นมนุษย์ปัจจุบันมีอายุแค่ 50,000 ปีนี่เอง แต่ธรรมชาติคงมีมาก่อนนาน มนุษย์มาเห็นธรรมชาติตรงไหน พออยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ได้ก็ใช้ ตรงไหนไม่เหมาะกับการดำเนินชีวิต ก็ย้ายออกไป
ทางขึ้นโลงผีแมน
"ถ้ำลอดปางมะผ้า" จึงเป็นถ้ำน้ำลอดที่แทบจะเป็นตัวแทนในการอธิบายปรากฏการณ์ที่น้ำกระทำต่อหินปูนและการใช้ประโยชน์จากถ้ำของมนุษย์ ในปัจจุบันการเที่ยวชมถ้ำลอดปางมะผ้า คือสิ่งที่ไม่ควรพลาดของนักเดินทางที่มาถึง โดยจะมีกลุ่มชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง มารวมกลุ่มกันเป็นไกด์ท้องถิ่น ถือตะเกียงเจ้าพายุพาเที่ยวในถ้ำ ซึ่งแสงจากตะเกียงเจ้าพายุนี้มันใช้ถ่ายภาพหินงอกหินย้อยได้สวยนักแล สีมันจะเหลืองนวล ราคาค่าเช่าตะเกียงพร้อมคนนำก็ไม่กี่บาท ให้คิดเสียว่าเป็นการกระจายรายได้ก็แล้วกัน ซึ่งเขาจะส่องไฟและพาเราดูทุกที่ ทุกท้องโถงถ้ำ ทุกหลืบถ้ำ เวลาผมไปผมจะถ่ายรูปจึงใช้เวลานานราว 3-4 ชม. แต่ทั่วๆ ไปราว 1-1.5 ชม.ก็เที่ยวทั่วแล้ว นอกจากนั้น ข้างในยังมีแพ สำหรับใครที่ไม่อยากเปียกน้ำ ก็จะมีแพรับจ้าง พาไปยังถ้ำที่มี "โลงผีแมน" ด้วย
โลงผีแมนที่ถ้ำลอดปางมะผ้า
เข้าไปไม่ยากครับ ไปถึง "อำเภอปางมะผ้า" จะมีทางเข้า "ถ้ำลอดปางมะผ้า" อยู่ใกล้ๆ ชุมชน เข้าไปตามทางปูนจนถึงหมู่บ้าน จะมีทางเลี้ยวขวาลงไปจนสุดทาง จนถึงลานจอดรถมีร้านอาหาร ของที่ระลึก สารพัดสารพัน ที่นี่สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ด้วย เพราะดูเหมือนจะมีหน่วยงานของกรมอุทยานฯอยู่ด้วย
ผมก็ไปเห็นถ้ำลอดมาก็หลายที่ แต่ยังไงก็ต้องซูฮกให้ที่นี่ว่าเข้าไปแล้วไม่เสียดายเวลาหรือเสียดายค่าตะเกียงเลย เพราะเต็มอิ่มกับการเที่ยวถ้ำลอดอย่างมาก
ไปถึง "ปางมะผ้า" อย่าเลยผ่าน "ถ้ำลอด" ก็แล้วกัน...