แก๊งยอดกุมาร หงส์แดง มรดกสีแดงที่คล็อปป์ขอมอบให้ ลิเวอร์พูล
ภาพความประทับใจของเหล่านักเตะดาวรุ่งจากอคาเดมีของทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ต่อสู้กับทีมระดับชั้นนำอย่าง เชลซี ก่อนทีมคว้าชัยได้แชมป์ คาราบาว คัพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชัยชนะเหนือเซาแธมป์ตันในศึกเอฟเอ คัพ รอบที่ 5 3-0 ซึ่งมาจากการยิงของ 2 นักเตะที่อายุเพียงแค่ 18 ปี
Key Points
- ลิเวอร์พูลได้นักเตะที่เป็นทายาทของอดีตนักฟุตบอลอยู่ในทีมถึง 3 คนที่ฉายแสงในเกมเอฟเอ คัพ กับเซาแธมป์ตัน คือลูอิส คูมาส, เจย์เดน แดนส์ และบ๊อบบี คลาร์ก
- ถ้านับรายชื่อทั้งหมดแล้วเท่ากับลิเวอร์พูลมีนักเตะอนาคตไกลที่ผ่านการฝึกฝนจากอคาเดมีของสโมสรถึง 14 รายด้วยกันในปัจจุบัน นี่คือมรดกตกทอดที่ดีที่สุดที่คล็อปป์ได้พยายามสร้างตลอดระยะเวลา 8 ปีเศษที่ผ่านมาและมอบไว้ให้กับลิเวอร์พูล
- ลิเวอร์พูลไม่ได้จำกัดการปั้นเด็กดาวรุ่งอยู่แค่เพียงนักเตะเยาวชนท้องถิ่นหรือ local lad เท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์ในการคัดนักเตะฝีเท้าดีที่พอมีแววมาขัดเกลาต่อ ซึ่งในกลุ่มนักเตะดาวรุ่งที่ได้โอกาสแจ้งเกิดนั้นหลายคนไม่ได้อยู่กับอคาเดมีของลิเวอร์พูลตั้งแต่เด็กๆ แต่มาตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว
ถึงตอนนี้ไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าเหล่าเด็กๆของ เจอร์เกน คล็อปป์ หรือที่เมืองนอกเรียกกันว่า “Klopp’s Kids” ที่ยกพลกันมาโชว์ตัวให้แฟนๆประทับใจถึงทั้งระดับฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม และที่ไม่ธรรมดาเลยคือเรื่องของหัวจิตหัวใจที่แต่ละคนดูโตเกินไวไปอย่างมาก
โดยเฉพาะกับ เจย์เดน แดนส์ ที่ทำคนเดียว 2 ประตูในเกมกับเซาแธมป์ตัน, ลูอิส คูมาส คนที่ยิงเบิกร่องในช่วงท้ายครึ่งแรก และบ๊อบบี คลาร์ก กองกลางคนขยันที่เป็นตัวขับเคลื่อนทีมได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เป็นลูกชายของอดีตนักฟุตบอลในอดีต
แต่นอกจาก 3 คนนี้แล้วยังมีเด็กๆที่ได้โอกาสจากบอสใหญ่ชาวเยอรมันและสามารถโชว์ผลงานยอดเยี่ยมอีกมากมายในฤดูกาลนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นมรดกที่ล้ำค่าที่คล็อปป์เหลือไว้ให้ก่อนอำลาทีม หงส์แดง เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้แล้ว
มันยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับ ลิเวอร์พูล ด้วยเช่นกัน
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ย้อนกลับไปในเกมกับ เซาแธมป์ตัน ซึ่งเกิดขึ้น 3 วันหลังจากที่ลิเวอร์พูลเฉือนเอาชนะ เชลซี ได้ในนัดชิง คาราบาว คัพ ที่สนามเวมบลีย์ ด้วยสภาพทีมที่กรำศึกหนักถึง 120 นาที โดยที่มีปัญหาตัวบาดเจ็บล้นทีมอยู่แล้วทำให้คล็อปป์ไม่มีทางเลือกนอกจากใช้บริการเหล่าไอ้หนูดาวรุ่งทั้งหลาย ที่กลายเป็นได้โอกาสทองของพวกเขาเอง
ถึงแม้ว่าจะเริ่มเกมกันอย่างกระท่อนกระแท่นและเกือบที่จะเสียประตูหลายต่อหลายครั้ง แต่ทีมรวมไอ้หนูของคล็อปป์ ก็ยืนหยัดต้านทานและค่อยๆตอบโต้กลับได้อย่างน่าประทับใจ
จุดเปลี่ยนของเกมอยู่ที่ประตูขึ้นนำในช่วงท้ายครึ่งแรก ซึ่งเริ่มจากการทำเกมของ บ็อบบี คลาร์ก ที่จ่ายให้ ลูอิส คูมาส พลิกแต่งบอลก่อนตวัดยิงลูกเปลี่ยนทางเข้าประตูไป
โดยที่เจ้าหนูวัย 18 ปีคนนี้เป็นลูกชายของ เจสัน คูมาส อดีตดาวดังของทีมทรานเมียร์ โรเวอร์ส, เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน, คาร์ดิฟฟ์ ซิตี และที่สำคัญคือเคยเป็นอดีตนักเตะฝึกหัดของลิเวอร์พูลรุ่นเดียวกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ด้วย
ส่วนคลาร์ก ในวัย 19 ปีที่เป็นคนจ่ายบอลให้นั้นก็เป็นลูกชายของ ลี คลาร์ก อดีตนักเตะดาวดังของทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดในยุค 90 ซึ่งลิเวอร์พูลไปดึงตัวมาจากอคาเดมีของทีมสาลิกาดง
แต่คนที่ขโมยซีนนิดหน่อยคือเจ้าหนู เจย์เดน แดนส์ ซึ่งได้โอกาสลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าช่วงครึ่งหลัง และใช้เวลาไม่นานในการทำคนเดียว 2 ประตู กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนๆทันที ซึ่งกองหน้าวัย 18 ปีเป็นลูกชายของ นีล แดนส์ อดีตนักฟุตบอลอาชีพเช่นกัน และเป็นสายเลือดสเกาเซอร์แท้ๆที่อยู่กับอคาเดมีของสโมสรตั้งแต่ 8 ขวบเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าลิเวอร์พูลได้นักเตะที่เป็น ทายาทอดีตนักฟุตบอล อยู่ในทีมถึง 3 คน โดยที่ในทีมอคาเดมียังมี เคย์โรล ฟิเกรัว ลูกชายของมายเนอร์ ฟิเกรัว อดีตนักเตะดาวดังของฟูแลมที่รอโอกาสแจ้งเกิดอยู่ด้วย
อย่างไรก็ดีทางด้านอเล็กซ์ อิงเกิลโธป ผู้อำนวยการฝ่ายอคาเดมียืนยันว่า
สโมสรไม่ได้มีนโยบายเน้นการหาดาวรุ่งที่เป็นลูกของอดีตนักเตะแต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าได้มาแล้วเก่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะนักเตะเหล่านี้จะได้รับคำแนะนำจากพ่อที่มีประสบการณ์จริง
มรดกสีแดงจากคล็อปป์
แต่ลิเวอร์พูลไม่ได้มีแค่นี้ เพราะในรายชื่อ 11 คนแรกที่ลงสนาม ยังมีควีวิน เคลเลเฮอร์, จาเรลล์ ควานซาห์ และคอเนอร์ แบรดลีย์ ซึ่งเป็นนักเตะจากอคาเดมีที่ถือว่าแจ้งเกิดเป็นตัวผู้เล่นระดับ ทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูล เต็มตัวแล้ว และคล็อปป์ยังให้โอกาส เจมส์ แม็คคอนเนลล์ กองกลางวัย 19 ปีที่เล่นได้ดีในเกมกับเชลซี ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงด้วย
โดยยังไม่นับ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่อาจจะไม่ได้เป็นเด็กอคาเดมีโดยตรงแต่ก็อยู่ในกลุ่มเด็กดาวรุ่งเช่นกันเพราะอายุเพิ่ง 20 ปีเท่านั้น
และในช่วงท้ายเกมคล็อปป์ยังให้โอกาส เทรย์ นีโอนี กองกลางดาวรุ่งวัย 16 ปี 243 วัน ลงประเดิมสนามด้วย ทำให้กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในรายการเอฟเอ คัพ ให้กับลิเวอร์พูล รวมถึง เคด กอร์ดอน กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปีซึ่งเป็นดาวรุ่งที่เคยได้โอกาสแจ้งเกิดก่อนเพื่อน แต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บต้องพักยาวร่วม 2 ปี และอยู่ระหว่างการค้นหาฟอร์มการเล่น
บนม้านั่งสำรองยังมี คาลัม สแกนลอน แบ็กซ้ายฝีเท้าจัดวัย 19 ปีที่ไม่ได้โอกาสลงสนาม ส่วนบนที่นั่งของทีมยังมี สเตฟาน บายเซติช กองกลางอนาคตไกลที่แจ้งเกิดในฤดูกาลที่แล้ว แต่มีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บจากการที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ และ เบน โด๊ก กองหน้าสายสปีดที่สร้างความฮือฮาช่วงต้นฤดูกาลแต่โชคร้ายบาดเจ็บรุนแรงที่เข่าต้องพักยาวจนจบฤดูกาล
โดยที่อย่าลืมว่ามี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดาวรุ่งชุดใหญ่คนแรกๆที่คล็อปป์ให้โอกาสแจ้งเกิดเมื่อ 8 ปีที่แล้วจนกลายเป็นว่าที่กัปตันทีมในอนาคต ก็เป็นนักเตะจากอคาเดมีลิเวอร์พูลเช่นเดียวกัน
ถ้านับรายชื่อทั้งหมดแล้วเท่ากับลิเวอร์พูลมีนักเตะอนาคตไกลที่ผ่านการฝึกฝนจาก อคาเดมีสโมสรลิเวอร์พูล ถึง 14 รายด้วยกันในปัจจุบัน
นี่คือมรดกตกทอดที่ดีที่สุดที่คล็อปป์ได้พยายามสร้างตลอดระยะเวลา 8 ปีเศษที่ผ่านมาและมอบไว้ให้กับลิเวอร์พูล
การลงทุนที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ดีในอีกด้านแล้วนโยบายการพัฒนาผู้เล่นจาก อคาเดมีลิเวอร์พูล คือต้นทางของความสำเร็จที่น่าประทับใจ
โดยเฉพาะนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของใหม่เป็นกลุ่ม Fenway Sports Group ก็มีความพยายามพัฒนาและยกระดับในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนเลยคือการย้ายสนามซ้อมของทีมทุกชุด ตั้งแต่ทีมชุดใหญ่ ทีมสำรอง ทีมหญิง ทีมเยาวชน มาอยู่ด้วยกันในศูนย์ฝึก AXA ที่เคิร์กบี ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาลถึงกว่า 50 ล้านปอนด์ และเปิดใช้เต็มระบบมาตั้งแต่ปี 2020
เงิน 50 ล้านปอนด์ในการสร้างศูนย์ฝึกไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แต่มันได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เงิน 50 ล้านปอนด์อาจซื้อนักเตะธรรมดาๆได้คนเดียว
แต่ลิเวอร์พูลไม่ได้จำกัดการปั้นเด็กดาวรุ่งอยู่แค่เพียงนักเตะเยาวชนท้องถิ่นหรือ local lad เท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์ในการคัดนักเตะฝีเท้าดีที่พอมีแววมาขัดเกลาต่อ ซึ่งในกลุ่มนักเตะดาวรุ่งที่ได้โอกาสแจ้งเกิดนั้นหลายคนไม่ได้อยู่กับอคาเดมีของลิเวอร์พูลตั้งแต่เด็กๆ แต่มาตอนเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว นักเตะกลุ่มนี้มีตั้งแต่
- แบรดลีย์ (ดันแกนนอน)
- กอร์ดอน (ดาร์บี เคาน์ตี)
- เอลเลียตต์ (ฟูแลม)
- คลาร์ก (นิวคาสเซิล)
- นีโอนี (เลสเตอร์)
- โด๊ก (เซลติก)
- บายเซติช (เซลตา บีโก)
- แม็คคอนเนลล์ (ซันเดอร์แลนด์)
- เคลเลเฮอร์ (ริงแมน เรนเจอร์ส)
- คูมาส (ทรานเมียร์)
จะมีก็เพียงแค่ควานซาห์, แดนส์ และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ถือเป็นสายเลือดแท้ของสโมสร
ถึงอย่างนั้นถ้าหากไม่มีแนวทางในการพัฒนาร่วมกันที่ชัดเจนระหว่างอคาเดมีกับทีมชุดใหญ่ ไม่มีการกำหนดทิศทางว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เด็กก้าวขึ้นทีมชุดใหญ่ได้ และไม่มีโอกาสจากผู้จัดการทีมที่มั่นใจในตัวเด็กๆเหล่านี้ ก็ยากที่เด็กจะได้เกิด
ลิเวอร์พูลเองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมานานในเรื่องนี้ และเคยถูกมองว่าเป็นทีมที่ไม่สามารถสร้างดาวรุ่งฝีเท้าดีได้เหมือนทีมอื่น ทีมไม่มีสตาร์จากอคาเดมีที่เชิดหน้าชูตามานานนับตั้งแต่ยุคของเจอร์ราร์ด กับเจมี คาร์ราเกอร์ กว่าจะได้เทรนต์ อาร์โนลด์
ตอนนี้บทเรียนทุกอย่างที่ผ่านมา ได้นำมาสู่วันที่ลิเวอร์พูลมีทรัพยากรดาวรุ่งฝีเท้าดีที่หลายคนมีอนาคตสดใสน่าจะไปได้ไกล บางคนอาจถึงขั้นเป็นซูเปอร์สตาร์ได้
นักเตะดาวรุ่งดาวใจเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสโมสรประหยัดเงินได้มหาศาลเพราะไม่ต้องไปหาซื้อนักเตะต่างชาติหรือต่างทีมเข้ามา แต่ด้วยความผูกพันในฐานะเด็กจากอคาเดมี เป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คล็อปป์บอกใน 2 นัดที่ผ่านมาว่าเขามีความสุขมากเหลือเกิน
เช่นกันกับเหล่าแฟนๆเดอะ ค็อป ที่ได้อิ่มเอมและภูมิใจไปกับแก๊งยอดกุมารเหล่านี้
New Kids for the Kop!