ปรากฏการณ์ช้างศึก ทีมชาติไทยจุดความหวัง หลังบุกเสมอเกาหลีใต้ แบบได้ใจแฟนๆ
ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ได้ชมเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดที่ ช้างศึก ทีมชาติไทย บุกไปยันเสมอเกาหลีใต้ 1-1 ก็ย่อมรู้สึกทั้งตื้นตันและขนลุกไปตามๆกัน เพราะมันเป็นผลการแข่งขันที่ดี เกินกว่าแฟนฟุตบอลไทยจะคาดหวังเอาไว้
Key Points
- ก่อนที่ไทยจะลงสนามที่โซล สเตเดียม มีการมองกันว่าโอกาสของทีมชาติไทยที่จะเก็บคะแนนได้ในเกมนี้มีน้อยเหลือเกิน เพราะเกาหลีใต้ก็ต้องการชัยชนะเพื่อเรียกศรัทธาแฟนๆเหมือนกัน
- เมื่อถึงเวลาลงสนามจริง ต้องบอกว่านักเตะไทยสร้างความประหลาดใจให้กับทีมเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างมากตั้งแต่ต้นจนจบเกม ยืนหยัดต่อสู้กับเกาหลีใต้ที่โหมบุกอย่างหนักได้อย่างน่ายกย่อง
- ในส่วนของขวัญและกำลังใจก็เป็นส่วนหนึ่ง การเข้ามาของโค้ชที่เก่งย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักฟุตบอลอยู่แล้ว แต่อีกส่วนที่สำคัญมากคือการที่อิชิอิไม่ได้เพียงแค่มีความสามารถในการคุมทีมระดับสูง หากแต่ยังเข้าใจในนักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี
- ทีมชาติไทยเล่นแบบนี้ก็ทำให้กระแสความคลั่งไคล้ของแฟนๆกลับมาเต็มพิกัดอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้สะท้อนจากการโพสต์ถามหาตั๋วเข้าชมการแข่งขันของแฟนบอลที่อยากไปดูเกมที่ไทยจะพบกับเกาหลีใต้อีกครั้งในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ซึ่งสนนราคาของตั๋วเข้าชมในตลาดมืดนั้นพุ่งทะยานอย่างน่าตกใจ
จากวินาทีที่ซนฮึงมินยิงประตูให้ทีมแดนกิมจิขึ้นนำ 1-0 หลายคนทำใจแล้วว่ามีโอกาสที่ไทยจะกลับบ้านในสภาพที่ไม่สวยนัก
แต่ปรากฏกว่า ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ลงมาช่วยทำประตูตีเสมอให้ทีมชาติไทยได้ 1-1 ในช่วงครึ่งเวลาหลัง ก่อนที่แข้งช้างศึกทุกคนจะตรึงกำลังกันต้านทานพลังบุกของทีมอันดับที่ 22 ของโลกในฟีฟา เวิลด์ แรงกิงอย่างสุดกำลัง
โดยเฉพาะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่เดิมเวลาขึ้นว่าจะมีการทดทั้งหมด 4 นาที แต่จู่ๆก็เพิ่มแบบเรียลไทม์เป็น 5 และ 6 นาทีตามลำดับ ซึ่งในช่วงนั้นเกาหลีใต้พยายามโหมบุกอย่างหนัก แต่สุดท้ายนักเตะทีมชาติไทยก็ทำได้สำเร็จ
เป็นการเสมอที่ได้ 1 คะแนนที่มากยิ่งกว่า 3 คะแนน และส่งผลอย่างมากมายมหาศาลไม่เฉพาะแค่โอกาสในการลุ้นเข้ารอบต่อไปในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก แต่จะมีผลกระทบต่อวงการฟุตบอลไทยด้วย
แต่ก่อนจะไปว่ากันถึงตรงนั้น เราลองมาย้อนดูสิ่งที่เกิดขึ้นที่ โซล สเตเดียม เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมากันอีกสักครั้ง
ความหวัง 1 เปอร์เซ็นต์
ก่อนที่ไทยจะลงสนามที่โซล สเตเดียม - สนามฟุตบอลของทีมเอฟซี โซล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรังเก่าที่ “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ตำนานศูนย์หน้าอมตะทีมชาติไทยเคยลงเล่นในชื่อเก่า “ลัคกี้ โกลสตาร์” (และเดอะ ตุ๊กก็เดินทางไปกับทีมในฐานะตัวแทนของนายกสมาคมฟุตบอลฯด้วย) - มีการมองกันว่าโอกาสของทีมชาติไทยที่จะเก็บคะแนนได้ในเกมนี้มีน้อยเหลือเกิน
อย่างแรกนี่เป็นการมาเยือนทีมชาติเกาหลีใต้ หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของเอเชีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก
อย่างต่อมาคือทีมเกาหลีใต้เองก็กำลังอยู่ในระหว่างการพยายามเรียกศรัทธากลับคืนมาเหมือนกัน หลังล้มเหลวใน ฟุตบอลเอเชียน คัพ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จนมีการเปลี่ยนแปลงโค้ชจากเจอร์เกน คลินส์มันน์ อดีตกองหน้าดีกรีแชมป์โลกชาวเยอรมัน โดยในตอนนี้เป็น ฮวางซุนฮง โค้ชจากทีมชุดยู-23 มาคุมทีมไปพลางๆก่อน
ไม่นับเรื่องที่มีปัญหาภายในทีมระหว่างกัปตันซนฮึงมิน กับสตาร์รุ่นน้องอย่างอีคังอิน ที่เป็นข่าวอื้อฉาวจนต้องรีบออกมาสยบข่าวเพื่อเคลียร์เรื่องราวกันก่อนเกม
ทั้งหมดนี้ทำให้มีการคาดกันว่าเกาหลีใต้น่าจะมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การชนะไทยให้ได้
แล้วฝั่งไทยมองอย่างไร? ในความรู้สึกก็ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่มีคำพูดที่น่าสนใจจาก ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางตัวความหวังของทีมที่บอกก่อนลงสนามในทำนองว่า
“ไทยมีความหวังอยู่ 1 เปอร์เซ็นต์”
มันมองได้ทั้งโอกาสของไทยที่จะเก็บชัยชนะกลับมาในเกมนี้เลยแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในความหมายที่แท้จริงแล้ว ชนาธิปพยายามบอกกับทุกคนว่า ต่อให้มันมีความหวังแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ มันก็คือความหวัง
ชนะใจ 100 เปอร์เซ็นต์
เมื่อถึงเวลาลงสนามจริง ต้องบอกว่านักเตะไทยสร้างความประหลาดใจให้กับทีมเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างมาก
การเปิดฉากรุกไล่อย่างดุดันด้วยเกมเพรสซิงสมัยใหม่ สไตล์วิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อย และพยายามที่จะเล่นเร็ว สร้างปัญหาหนักอกหนักใจให้แก่ทีมโสมขาวอยู่ไม่ใช่น้อยๆ
เพียงแต่ด้วย “คลาสบอล” ที่ห่าง ไปจนถึงทุกองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของร่างกาย ความเร็ว ทักษะของผู้เล่น แท็คติก ความเข้าใจในเกม และกำลังใจจากเสียงเชียร์ทำให้เกาหลีใต้ค่อยๆใช้สิ่งเหล่านี้ดึงสถานการณ์กลับมา
ก่อนจะได้ประตูขึ้นนำที่ต้องการในช่วงสำคัญของเกมคือท้ายครึ่งแรก โดยคนที่ทำประตูได้คือซนฮึงมิน ซูเปอร์สตาร์ผู้เป็นฮีโร่เบอร์หนึ่งด้วย
ประตูนี้มันควรจะทำให้เกมเป็นของเกาหลีใต้อย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว แต่ทีมชาติไทยกลับแสดงธาตุทรหดให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีวันยอมแพ้
เมื่อกลับมาลงสนามใหม่ไทยไม่ได้เพียงแค่ตั้งรับอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมให้เกาหลีใต้ได้ลุ้นทำประตูเพิ่มอีก ยังพยายามที่จะสร้างจังหวะเกมรุกเพื่อกดดันกลับ ซึ่งแม้จะขาดความแม่นยำอยู่มาก อันเป็นเรื่องของความเร็วในการเล่นที่เกาหลีใต้เหนือกว่าทำให้ไทยต้องเร่งจังหวะเกินกว่าขีดความสามารถ
แต่สุดท้ายไทยก็ค้นพบช่วงเวลาที่สร้างแรงกดดันได้หลังศุภณัฏฐ์ เหมือนตาถูกส่งลงสนาม ความเร็วและความคล่องตัวของนักเตะที่ไปค้าแข้งกับ โอเอช ลูเวิน ในลีกเบลเยียมสร้างปัญหาให้เกมรับของเกาหลีใต้ได้ไม่น้อย
จนนำไปสู่ประตูตีเสมอของ “เจ้าแบงค์” ในที่สุด
เพียงแต่ไทยไม่ได้ทำแค่นี้ สิ่งที่ทำมากกว่าคือการยืนหยัดต่อสู้กับเกาหลีใต้ที่โหมบุกอย่างหนักได้อย่างน่ายกย่อง
พิสูจน์ให้เห็นถึง Mentality หรือจิตใจที่แข็งแกร่ง ที่ต่างจากในอดีตที่หากโดนถล่มขนาดนี้ก็น่าจะยุบง่ายๆแล้ว ผลเสมอของไทยจึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะ เพราะเป็นการชนะใจทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
โดยที่ผลการแข่งอีกคู่ก็เป็นใจด้วยเพราะจีนเสมอกับสิงคโปร์ 2-2 หมายถึงไทยมีโอกาสจะเข้ารอบต่อไปของศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกอยู่
พิมพ์เขียวทีมชาติไทยแบบอิชิอิซัง
แน่นอนว่าผลการแข่งขันนัดนี้ย่อมเพิ่มเครดิตให้แก่ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือเลือดซามูไรของทีมชาติไทยได้อีกมากโข เพราะคุมทีมแค่ 3 เดือนเศษ เปลี่ยนแปลงช้างศึกได้อย่างน่ามหัศจรรย์
เรียกว่าเปลี่ยนเป็นคนละทีมกับช่วงก่อนหน้านี้เลย
ในส่วนของขวัญและกำลังใจก็เป็นส่วนหนึ่ง การเข้ามาของโค้ชที่เก่งย่อมส่งผลต่อ สภาพจิตใจนักฟุตบอล อยู่แล้วแต่อีกส่วนที่สำคัญมากคือการที่อิชิอิไม่ได้เพียงแค่มีความสามารถในการคุมทีมระดับสูง หากแต่ยังเข้าใจในนักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี
รู้เลยว่าจะใช้งานคนไหนแบบไหนและเมื่อไร และนั่นทำให้นักเตะทุกคนพร้อมจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเมื่อลงสนาม
สองส่วนนี้ทำให้ไทยดีขึ้นอย่างทันต่อเห็นและดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ ฟุตบอลเอเชียน คัพ เมื่อเดือนมกราคม โดยตอนนี้ดูเหมือนอิชิอิ จะมี “พิมพ์เขียว” สำหรับทีมชาติไทยเรียบร้อยแล้ว ด้วยการเป็นทีมที่มีเกมรับที่เหนียวแน่น และมีเกมโต้กลับที่รวดเร็ว
เกมรับที่ว่าแน่นนั้นในทางกลยุทธ์คือการรับลึก (Low block) แต่ไม่ถอยร่นอย่างเดียว เมื่อทิ้งบอลขึ้นหน้าไปแล้วหากเก็บบอลเล่นไม่ได้แดนบนจะช่วยกันไล่เพื่อ “ซื้อเวลา” ให้เพื่อนร่วมทีม ซึ่งจะเห็นได้ตลอดทั้งเกมว่าการเพรสซิงทำให้เกาหลีใต้เล่นไม่ถนัดถนี่
อึดอัดจนคนมองโลกในแง่ดีอย่างซนฮึงมินก็ยอมรับสภาพ เพราะไทยช่วยกันได้ดีจริงๆ
ส่วนเกมรุกเห็นตั้งแต่เอเชียน คัพแล้วเหมือนกัน คือหากตัดบอลกลับได้จะสวนกลับไว หากคู่แข่งชิงตัดบอลกลับมาไม่ได้ ไทยจะใช้จังหวะการเล่นให้น้อยที่สุด เป็นการ Transition ของฟุตบอลแบบสมัยใหม่แท้ๆ
ไม่ต้องลีลาเยอะ ใส่ได้ก็ใส่เลย!
ช้างศึกฟีเวอร์
ทีมชาติไทยเล่นแบบนี้ก็ทำให้กระแสความคลั่งไคล้ของแฟนๆกลับมาเต็มพิกัดอีกครั้ง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนจากการโพสต์ถามหาตั๋วเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลของแฟนบอลที่อยากไปดูเกมที่ไทยจะพบกับเกาหลีใต้อีกครั้งในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ซึ่งสนนราคาของตั๋วเข้าชมในตลาดมืดนั้นพุ่งทะยานอย่างน่าตกใจ
ผู้เขียนเองสอบถาม ราคาตั๋วเข้าชม บอลไทย - เกาหลีใต้ ในโซนหลังประตูที่ราคาหน้าตั๋วอยู่ที่ 165 บาท และได้รับคำตอบที่ชวนสะพรึงว่าถ้าซื้อตอนนี้ราคาตลาดอยู่ที่ใบละ 1,500 บาท
ส่วนตั๋วราคาสูงสุด 750 บาท ตอนนี้ราคาทะยานถึง 3,500-4,000 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความจริงแล้วไม่สนับสนุนให้ซื้อตั๋วจากตลาดมืด เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนย้อมแมวหรือโดนโกงได้ง่ายๆ (เพราะผู้อยากได้ก็หน้ามืดแล้วเหมือนกัน) แต่เชื่อได้ว่าจะมีแฟนบอลที่พร้อมจ่าย เพราะอยากเข้าไปเชียร์ทีมชาติไทยที่กำลังเล่นได้ใจสุดๆแบบในตอนนี้
กระแสร้อนแรงแบบนี้แน่นอนว่าจะมีผลดีตามมาอีกมาก โดยเฉพาะสปอนเซอร์ที่จะกลับเข้ามาสนับสนุนทีมชาติไทยกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ซบเซาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพียงแต่ก็ต้องอยู่กับการบริหารของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯที่จะจัดสรรงบประมาณอย่างไร
โดยเฉพาะในระดับสโมสรที่รอคอยความหวังอยู่ที่จะได้น้ำทิพย์ชโลมใจบ้างหลังจากแห้งเหี่ยวมานานเหลือเกิน
และคำถามต่อไปคือจะรักษากระแสนี้เอาไว้ได้นานแค่ไหน และเปลี่ยนกระแสให้เป็นความยั่งยืนของวงการฟุตบอลไทยในภาพรวมอย่างไร
บนโลกนี้แทบทุกอย่างใช้เงินซื้อหามาได้ แต่ไม่ใช่เรื่องของแรงบันดาลใจ
วันนี้ทีมชาติไทยสร้างมันกลับมาได้อีกครั้งด้วยความทุ่มเทของทั้งทีม อย่าปล่อยให้มันเป็นแค่สายลมที่พัดมาแล้วพัดผ่านไปก็พอ