เปิดลิสต์ 5 ประเทศ Work-Life Balance ดีที่สุดในโลก สุดว้าว ลาคลอดได้ครึ่งปี
เปิด 5 อันดับประเทศที่มี Work-Life Balance ดีที่สุดในโลก ซึ่งวัดผลจากจำนวนวันลา-วันหยุดประจำปี วันลาคลอด เงินชดเชยตามกฎหมาย ชั่วโมงทำงาน ชั่วโมงพักผ่อน ฯลฯ
KEY
POINTS
- 5 อันดับประเทศที่มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก วัดผลจากจำนวนวันลา-วันหยุดประจำปี วันลาคลอด เงินชดเชยตามกฎหมาย ชั่วโมงทำงาน ชั่วโมงพักผ่อน ฯลฯ
- Remote Index จัดอันดับให้ “นิวซีแลนด์” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ประเทศที่มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก
- จุดเด่นคือการมอบสวัสดิการ “วันลาคลอดบุตร” ให้พนักงานนานถึง 26 สัปดาห์ หรือ 194 วัน หรือกว่า 6 เดือน
การโยกย้ายไปทำงานต่างประเทศเกิดขึ้นกับแรงงานทั่วโลก ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงกว่าบ้านเกิดของตน, ลี้ภัยจากความไม่สงบ, ชอบและหลงใหลในวัฒนธรรมของประเทศปลายทาง หรือแม้กระทั่งเหตุผลด้าน Work-Life Balance หรือความสมดุลของชีวิตและการทำงาน
โดยเฉพาะเหตุผลอย่างหลังสุด ถือเป็นเหตุผลสำคัญของแรงงานจำนวนไม่น้อยในการย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมเพื่อไปทำงานต่างแดน โดย สำนักข่าวบีบีซี รายงานถึงประเด็นนี้ไว้ว่า ปัจจุบันแนวคิดการทำงานแบบ Work-Life Balance ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในทุกสิ่ง ตั้งแต่วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ไปจนถึงความเป็นอยู่ที่ดีด้านจิตใจ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วัยทำงานจำนวนหนึ่งกำลังพิจารณาย้ายไปทำงานในประเทศที่มีทัศนคติการทำงานแบบเน้นสมดุลชีวิต โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมและมีสวัสดิการที่ดี
ทั้งนี้ บีบีซี ยังได้เจาะลึกลงไปว่าประเทศใดในโลกมีทัศนคติด้านความสมดุลของชีวิตและการทำงานที่ดีที่สุด โดยเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจาก “ดัชนีสมดุลชีวิตและการทำงานทั่วโลกปี 2023” (Global Life-Work Balance Index 2023) โดยบริษัท Remote ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีทรัพยากรบุคคลระดับโลก โดยทำการวัดผลจากวันลาประจำปีตามกฎหมาย การจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายกรณีขาดงานเพราะเจ็บป่วย การลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง
นอกจากนี้ยังดูข้อมูลความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจาก OECD's work-life balance data ร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์ว่าพนักงานแต่ละประเทศทำงานกี่ชั่วโมง และใช้เวลาไปกับการพักผ่อนและการดูแลส่วนบุคคลกี่ชั่วโมง (OECD คือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เป็นองค์กรระหว่างประเทศประกอบด้วย 22 ประเทศสมาชิก)
ผลการวิเคราะห์ของบีบีซี พบว่า 5 ประเทศดังต่อไปนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก ได้แก่
1. นิวซีแลนด์
จากการจัดอันดับของ Remote Index พบว่า “นิวซีแลนด์” ขึ้นแท่นอันดับ 1 ประเทศที่มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก จุดเด่นคือการมอบสวัสดิการ “วันลาคลอดบุตร” ให้พนักงานนานถึง 26 สัปดาห์ หรือ 194 วัน หรือกว่า 6 เดือนโดยได้ยังรับค่าจ้างตามปกติ โดยได้รับแรงหนุนจากการมีค่าแรงขั้นต่ำที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังให้วันลาประจำปีตามกฎหมายเป็นเวลา 32 วันต่อปี และให้เงินชดเชยการขาดงานกรณีเจ็บป่วยตามกฎหมายขั้นต่ำ 80% ของเงินเดือน
ขณะที่ข้อมูลจาก OECD แสดงให้เห็นว่า พนักงานในนิวซีแลนด์ 14% ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ มากกว่าที่ OECD กำหนดค่าเฉลี่ยไว้ที่ 10% แต่ส่วนใหญ่ 86% มีชั่วโมงทำงานน้อยกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อีกทั้งเมื่อตรวจสอบจำนวนชั่วโมงสำหรับใช้ชีวิตส่วนตัวพบว่า พวกเขามีเวลาพักผ่อนและเวลาว่างราวๆ 14.9 ชั่วโมงต่อวัน (เช่น การรับประทานอาหาร การนอนหลับ การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง งานอดิเรก และดูโทรทัศน์)
เอริน แพร์รี ชาวแคนาดาที่เลือกจะย้ายไปทำงานในนิวซีแลนด์ในสาขาด้านการตลาด แชร์ประสบการณ์ว่า แนวทางและวัฒนธรรมในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของชาวนิวซีแลนด์นั้นแข็งแกร่งมาก พวกเขาให้ความสำคัญหลักกับครอบครัว ความเป็นอยู่ที่ดี สันทนาการ การเดินทาง พวกเขาใช้เวลาอย่างมีค่ามากจริงๆ และเชื่อว่างานคือสิ่งที่คนเราจะหยุดทำในวันใดวันหนึ่ง และมันไม่ใช่ทั้งชีวิตของคุณ แต่การทำงานในแนวทางนี้ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง นั่นคือ กรณีที่คุณกำลังทำงานเร่งด่วนให้เสร็จ และมีการขอข้อมูลผ่านทางอีเมล คุณอาจจะไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ หากตอนนั้นไม่ใช่เวลางาน
2. สเปน
Remote Index ยกให้ “สเปน” เป็นประเทศที่มีสมดุลชีวิตและการงานเป็นอันดับสองของโลก ด้วยจุดเด่นคือ ให้วันหยุดประจำปีตามกฎหมาย 26 วัน ส่วนข้อมูลจาก OECD พบว่ามีพนักงานในสเปนส่วนน้อยเพียง 2.5% ที่ทำงานเกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แปลว่า พนักงานส่วนใหญ่มากถึง 97.5% ที่ทำงานน้อยกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยคือพวกเขาทำงานประมาณ 37.8 ชม./สัปดาห์ (5-6 ชม./วัน) เท่านั้น
ขณะที่พนักงานในสเปนได้รับวันลาประจำปี 26 วันต่อปี ได้วันลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 16 สัปดาห์ (4 เดือน) และได้เงินชดเชยขาดงานกรณีป่วย 60% ของเงินเดือน ทั้งนี้ พนักงานบริษัทส่วนใหญ่ได้รับเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันเป็นเวลานาน 1-2 ชั่วโมง และในช่วงฤดูร้อนจะมีประเพณีวันศุกร์ที่เรียกว่า Jornada Intensiva ซึ่งจะอนุญาตให้พนักงานกลับบ้านได้ในเวลา 15.00 น. ทดแทนเวลาช่วงพักกลางวัน
อิซาเบล คลิเกอร์ นักเขียนด้านการเดินทางที่ย้ายไปทำงานในหลายๆ ประเทศ เช่น สวีเดน สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ และล่าสุดที่เมืองบาร์เซโลนาในสเปน เธอเล่าว่า ผู้คนที่นี่แทบจะไม่คุยเรื่องงานในเวลาส่วนตัว พวกเขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าคุณทำงานอะไร แต่ชวนคุยเรื่องอื่นๆ วัฒนธรรมการทำงานของชาวสเปน คือพวกเขาเชื่อว่า คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน แต่ทำงานเพื่อมีชีวิตอยู่
3. เดนมาร์ก
จากการจัดลำดับความสำคัญของความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานของ OECD พบว่ามีพนักงานชาวเดนมาร์กเพียง 1% ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก แปลว่า 99% ของพนักงานมีชั่วโมงทำงานน้อยกว่านั้น โดยพวกเขามีเวลาส่วนตัวและเวลาว่างถึง 15.7 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ เดนมาร์กยังเคยมีโครงการระดับประเทศอย่าง Flexjobs (เปิดตัวในปี 1998) ที่พนักงานสามารถขอปรับเปลี่ยนเวลาทำงานให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้
ประเทศนี้ยังเสนอวันลาประจำปีตามกฎหมายให้พนักงานถึง 36 วัน และคนงานจะต้องได้รับค่าชดเชย 100% ของเงินเดือนสำหรับการขาดงานกรณีเจ็บป่วย
เฮเลน รัสเซลล์ นักเขียนและนักข่าวที่มีบ้านเกิดอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่ย้ายมาทำงานที่เดนมาร์กได้ 10 กว่าปี เธอเล่าว่า การทำงานที่ลอนดอนมันยุ่งมาก ความสมดุลระหว่างชีวิตและงานก็แทบไม่มี แต่พอย้ายมาที่นี่ เธอสังเกตเห็นว่าขอบเขตระหว่าง “งาน” และ “ชีวิต” ของชาวเดนมาร์กนั้นเข้มงวดเพียงใด วันทำงานเริ่ม 08.00 น. และเลิกงาน 16.00 น. ตรงเวลาทุกวัน เนื่องจากคนที่มีลูกจะต้องไปรับลูกจากสถานรับเลี้ยงเด็กภายในเวลา 16.00 น. ของทุกวัน ซึ่งคนที่ไม่มีลูกก็ได้รับประโยชน์จากตรงนี้ด้วย (เลิกงานเวลาเดียวกัน) นอกจากนี้ หากคุณมีกิจกรรมส่วนตัวที่ต้องทำ เช่น ไปยิม ไปเข้าชมรมแบดมินตัน ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับกันได้อย่างสมบูรณ์
4. ฝรั่งเศส
ข้อมูลของ OECD ระบุว่า ผู้คนในฝรั่งเศสมีเวลาส่วนตัวและเวลาว่างถึง 16.2 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่ชั่วโมงทำงานอยู่ที่ประมาณ 7.8 ชั่วโมงต่อวัน และส่วนใหญ่ก็เน้นทำงานระยะไกล (Remote work) เพราะเน้นความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ขณะที่ Remote Index จัดให้ฝรั่งเศสเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่มี Work-life Balance ดีที่สุดในโลก โดยพนักงานมีจำนวนวันลาตามกฎหมายสูงสุด 36 วันต่อปี ได้รับวันลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 16 สัปดาห์ (4 เดือน) และได้เงินชดเชยหากขาดงานกรณีป่วย 50% ของเงินเดือน
ซาราห์ มิโช ผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ชาวแคนาดาที่ย้ายมาอยู่ในปารีสเมื่อปี 2021 เธอแชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่า คนที่นี่ให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัว (ที่ไม่ใช่เรื่องงาน) เป็นอันดับแรก วัฒนธรรมฝรั่งเศสส่งเสริมความรู้สึกผ่อนคลายและการพักผ่อน จะเห็นได้จากวัฒนธรรมการออกมานั่งร้านกาแฟในยามว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพอากาศดี
5. อิตาลี
ข้อมูลของ OECD แสดงให้เห็นว่า พนักงานในอิตาลีส่วนใหญ่มีเวลาว่างมากถึง 69% ของวัน หรือประมาณ 16.5 ชั่วโมงต่อวัน แปลว่ามีชั่วโมงทำงานอยู่ที่ 7.5 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่มีชาวอิตาเลียนเพียง 3% เท่านั้นที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลจาก Remote Index ระบุว่า พนักงานในอิตาลีได้รับวันลาประจำปี 32 วันต่อปี ได้วันลาคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง 21 สัปดาห์ (5 เดือนกว่า) และได้รับเงินชดเชยการขาดงานกรณีป่วย 50% ของเงินเดือน
อูริเบ-โอรอซโก ทนายความที่เคยทำงานในโคลอมเบียและสหรัฐอเมริกา และปัจจุบันได้ย้ายมาทำงานในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เขาแชร์ว่า คนภายนอกอาจคิดว่าคนอิตาลีไม่ทำงาน แต่ไม่ใช่เลย ชาวอิตาลีทำงานหนักมาก เพราะต้องทำงานให้เสร็จเร็วในเวลาจำกัด พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล แล้วเอาเวลาว่างไปพักผ่อนแทน ชาวอิตาเลียนมีความเชื่อตามวลีที่ว่า “il dolce far niente (ความหอมหวานจากการไม่ทำอะไรเลย)”
อูริเบ คิดว่าชาวอิตาลีเป็นผู้คิดค้นแนวคิดเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานด้วยซ้ำ เขาบอกว่า ผู้คนที่นี่ไม่ได้วิ่งแจ้นไปรอบๆ เหมือนไก่ ที่ชีวิตมีแต่ต้อง “ทำงาน ทำงาน และทำงาน” เท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ มากกว่า แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียอยู่ โดยพบว่าประเทศนี้มีการว่างงานสูงกว่าและเงินเดือนเฉลี่ยต่ำกว่าประเทศ OECD อื่นๆ จำนวนมาก และการขาดวัฒนธรรมที่เร่งรีบอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน เช่น หากคุณต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงอีกทั้งหากไปทำธุระที่เกี่ยวกับระบบราชการทุกประเภท เช่น การต่อใบอนุญาต มักจะใช้เวลาครึ่งวัน เป็นต้น