ถ้าบุคลากรมี 'สุดยอดทักษะ' สำหรับการงานในอนาคต 

ถ้าบุคลากรมี 'สุดยอดทักษะ' สำหรับการงานในอนาคต 

ถ้าเป็นผู้บริหารที่ใส่ใจอนาคต  คงไม่พลาด Future of Jobs Report จาก World Economic Forum รายงานฉบับปี 2023 บอกว่าทักษะหลักของบุคลากร ที่ผู้บริหารส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เป็นทักษะสำคัญสำหรับการสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน ให้กับการงานในช่วงห้าปีข้างหน้านั้นมีอะไรบ้าง

อันดับต้น ๆในแต่ละปีไม่ค่อยจะต่างกันมากเท่าใดนัก ส่วนใหญ่เป็นทักษะที่คนฉลาดมักจะมีอยู่

ทักษะอันดับหนึ่งคือ ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ อันดับสองคือการคิดสร้างสรรค์ ตามมาด้วยทักษะของคนที่มีความมุ่งมั่นในการทำงาน คือทักษะสำหรับการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน

รู้จักยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ โดยมีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ รวมถึงมีความตระหนักรู้ว่าการงานเดินหน้าไปได้ด้วยดีมากน้อยเพียงใด จนกระทั่งสามารถฟื้นกลับจากความล้มเหลวใด ๆได้เป็นอย่างดี

ส่งท้ายอันดับต้น ๆของทักษะแห่งความสำเร็จในการงานด้วยทักษะที่มีในคนที่กระตือรือล้นที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นเสมอ คือทักษะในการใฝ่รู้และการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

ซึ่งหาคนที่มีสุดยอดทักษะดังกล่าวไม่ง่ายนัก แต่ที่ยากกว่ามากคือถ้ามีคนเหล่านั้นแล้ว จะทำอย่างไรจึงจะใช้ศักยภาพคนเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ 

เคยพบเจอกันมาเยอะแล้วที่ลูกน้องเก่ง แต่มีนายใหญ่ที่หาความเก่งไม่ได้ แล้วทำให้ลูกน้องเก่งๆ เหล่านั้นไร้คุณค่า ดังนั้น ลูกน้องจะเก่งได้เต็มศักยภาพก็ต่อเมื่อองค์กรนั้นมีการจัดการที่เปิดโอกาสให้มีการใช้สุดยอดทักษะนั้นได้เต็มที่เท่านั้น  ถ้ามีคนช่างคิดวิเคราะห์ ก็ต้องส่งเสริมวัฒนธรรม “ทำไมและอย่างไร Why and How”

จะสั่งการอะไรก็ต้องบอกว่าทำไม และอย่างไร บอกกันชัดๆว่า เป้าหมายคืออะไร วัดความสำเร็จได้อย่างไร คนช่างคิดวิเคราะห์ชอบการงานที่มีข้อมูลชัดเจน ทำงานแล้ววิเคราะห์ได้อย่างตรงไปตรงมาว่างานดีหรือไม่ดี อย่าพยายามตะแบงให้เชื่อว่างานที่ล้มเหลวเป็นงานที่ประสบความสำเร็จ 

ถ้ามีคนช่างคิดสร้างสรรค์ ให้ส่งเสริมวัฒนธรรม “เห็นด้วยและควรทำอะไรต่อ” อย่าหยุดแค่เห็นด้วยอย่างเดียว ให้ช่วยกันคิดว่าที่เสนอว่าจะทำอย่างนั้น ควรจะมีอะไรต่อยอดเพิ่มเติมขึ้นอีก 

สร้างเวทีนวัตกรรม เป็นเวทีช่วยกันคิดหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดความหมายในทางบวกกับการดำเนินงาน เป็นเวทีที่จะกำจัดความเป็นเลิศในการอนุรักษ์ความต่อเนื่องของวิธีการทำงานดั่งเดิม

คนช่างคิดสร้างสรรค์ผูกพันกับการงานที่เขาได้มีส่วนคิดสร้างสรรค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย อย่าสั่งการอะไรที่คิดอย่างไรก็ดูไม่เข้าท่า 

ถ้ามีคนที่เชื่อในความยืดหยุ่นในการงาน เชื่อว่ามีความคล่องแคล้วในการปรับตัวจากวิธีเดิม ๆไปสู่วิธีการใหม่ ๆ ถ้ามีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไปจนได้ เชื่อว่าพลาดพลั่งแค่ไหนก็ฟื้นกลับมาได้ดังเดิม หรือดีกว่าเดิมเสียอีก ให้ส่งเสริมวัฒนธรรม  “What-If”

เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้คิดว่าจะต้องยืดหยุ่นในการงานในเรื่องใด ต้องสร้างความคล่องตัวอะไรเตรียมไว้ล่วงหน้าบ้าง เตรียมแผนการรับมือเหตุการณ์วิกฤตต่าง ๆที่เจอเมื่อใด ไม่ว่าจะทรุดลงแค่ไหน ก็ต้องสามารถฟื้นคืนมาได้

ถ้ามีคนที่ใส่ใจใฝ่รู้สรรพสิ่งที่อาจช่วยให้การงานดีขึ้น เป็นคนที่เหมือนแก้วนำ้ที่ยังมีที่ว่างให้เติมเต็ม ควรจะต้องสร้างระบบจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลไว้ในองค์กร

คนเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากความรู้ที่องค์กรสะสมไว้ได้อย่างเต็มที่ พร้อม ๆกับมีเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้อาวุโสในการงานและคนใหม่ที่เพิ่งมาร่วมทีม ผู้อาวุโสไม่ใช่เป็นผู้ให้เพียงอย่างเดียว ยังเป็นผู้รับพร้อมกันไปด้วย ไ

ด้รับอะไรที่คนรุ่นใหม่มีความถนัด เช่นเทคโนโลยีที่เกิดใหม่มาพร้อมกับพวกเขา เตรียมช่องทางเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ดำเนินการอยู่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับรู้สิ่งใหม่ ๆ 

ทั้งหมดที่ยกมาเป็นตัวอย่างนั้น จะไม่มีคุณค่าใด ๆเลย หากผู้บริหารเองปฏิบัติตนไปในทางตรงข้ามกับสุดยอดทักษะที่ WEF บอกไว้  ตัวเองสั่งการไปโดยไม่มีการคิดวิเคราะห์ว่าทำได้แค่ไหน วาดฝันแล้วก็สั่งการไปเรื่อย

การงานที่สั่งการไปล้วนแต่อนุรักษนิยมสุดขั้ว หาความคิดสร้างสรรค์ไม่เจอ กฎระเบียบที่ใช้กำกับการทำงานก็ไม่คล่องตัว เถรตรงโดยปราศจากความยืดหยุ่น หาอะไรที่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ดีไม่ได้สักอย่าง

ผิดเป็นครูซำ้แล้วซำ้อีก ครูคนเดิมกลับมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าต้องการใช้ศักยภาพของบุคลากรที่มีสุดยอดทักษะได้อย่างเต็มที่ ตัวผู้บริหารเองก็ต้องปฏิบัติตนให้เป็นที่ประจักษ์ว่าตนเองก็มีสุดยอดทักษะนั้นเช่นเดียวกัน 

การสื่อสารระหว่างกันอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสไม่มีการซ่อนเงื่อนใด ๆ จะช่วยให้ผู้บริหารได้ใจของคนทำงาน ไม่ว่าจะมีทักษะโดดเด่นแค่ไหน ถ้าชอบปกปิดความจริง สั่งการแบบไม่ให้เถียงก็อย่าไปใส่ใจกับใครที่มีสุดยอดทักษะที่กล่าวมา เพราะไม่นานคนเหล่านั้นก็จะละทิ้งองค์กรที่มีผู้บริหารแบบนี้ไปเอง 

ผู้บริหารที่เก่งจะหาคนเก่งมาช่วยทำงาน และจะหาหนทางให้คนเก่งทำงานได้เต็มศักยภาพ  ในขณะที่ผู้บริหารที่ไร้ความเก่ง ถ้ามีคนเก่งเข้ามา ก็จะหาทางปิดกั้นศักยภาพของคนเหล่านั้น