‘เลอบรอน เจมส์’ นักบาสผู้ยิ่งใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จเพราะเคยล้มเหลว
แม้ว่า “เลอบรอน เจมส์” จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อย้อนไปดูบทสัมภาษณ์ของเขาในปี 2009 ก็จะเห็นได้ว่าเขาเองก็เชื่อว่าความล้มเหลวเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ
หลังจากนี้ชื่อของ “เลอบรอน เจมส์” จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่น NBA และนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แม้ว่าจะยังมีข้อถกเถียงว่าเขาคือผู้เล่นที่ดีที่สุดหรือไม่ แต่หากมองจากผลงานที่ผ่านก็อาจเรียกได้ว่าไม่เกินจริงมากนัก เพราะเขาฉายแววให้เห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมโดยเขาพาทีมคว้าแชมป์ระดับรัฐได้หลายรายการ รวมถึงได้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีระดับประเทศในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เข้าจะก้าวเข้าสู่ “NBA” ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของการแข่งบาสเกตบอลของสหรัฐ
เขาเข้าร่วมทีม “คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส” โดยสวมเสื้อหมายเลข 23 ด้วยความสามารถที่โดดเด่นทำให้เขาได้รับรางวัลรุกกี้แห่งปีหลังจากลงเล่นในฤดูฤดูกาลแรก ก่อนจะคว้าตั๋วไปเอเธนส์ในฐานะ “ทีมชาติสหรัฐอเมริกา” เพื่อไปแข่งขันโอลิมปิก 2004 และคว้าเหรียญทองแดงกลับมาได้
หลังจากนั้นเลอบรอนก็มีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นผู้เล่นแถวหน้าของ NBA โดยในช่วงที่เข้าเล่นให้กับคลีฟแลนด์ถึง 7 ฤดูกาล เขามีแต้มเฉลี่ยถึง 78 เกมต่อฤดูกาล และได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าหรือว่า MVP ด้วย แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังไม่เคยได้แชมป์ NBA มาครองเลยก็ตาม
ในปี 2016 เขากลับมาสู่ทีมคาเวเลียร์สอีกครั้ง และยังมีบทบาทสำคัญในการคว้าแชมป์ให้ทีมได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนจดจำเขาได้มากขึ้นก็คือหลังจากนั้นเลอบรอนได้เซ็นสัญญากับทีม “ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส” เมื่อปี 2018 และคว้าแชมป์ได้ในฤดูกาลที่สาม ซึ่งถือว่าเป็นการคว้าแชมป์ NBA ครั้งที่ 4 ของเขา ที่เรียกว่าเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาก็ว่าได้
เพราะหากย้อนไปถึงบทสัมภาษณ์ของเขาที่เคยให้ไว้เมื่อปี 2009 กับ CBS News จะมีช่วงหนึ่งที่เขาพูดว่า “ผมหวังว่าจะได้เป็นแชมป์ NBA มันเป็นหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดสำหรับผม ในฐานะนักบาสเกตบอล” และจากบทสัมภาษณ์นี้เองที่ทำให้เกิดประโยคคลาสสิกที่ทำให้หลายคนจดจำเขาได้และยังคงถูกนำมายกตัวอย่างเพื่อเป็นประโยคสร้างกำลังใจให้กับคนอื่นอยู่หลายครั้งนั่นก็คือ “คุณไม่สามารถกลัวความล้มเหลวได้ นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จตลอดเวลา และผมรู้ดี คุณต้องยอมรับความล้มเหลวเพื่อที่จะดีขึ้น”
ไม่ใช่แค่นั้นแต่ในบทสัมภาษณ์ครั้งนั้นยังมีเรื่องราวของเลอบรอนมากมายที่น่าสนใจ เช่น เมื่อถูกถามว่าส่วนไหนของการเล่นของเขาที่แข็งแกร่งที่สุด เลอบรอนก็เล่าว่า “วิธีที่ผมเล่นเกมโดยใช้ความคิด ผมคิดแบบทีมก่อน มันช่วยให้ผมประสบความสำเร็จ มันช่วยให้ทีมของผมประสบความสำเร็จ เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า ‘ผมจะช่วยให้เพื่อนร่วมทีมของผมเก่งขึ้นได้อย่างไร’ ผมใช้วิธีนี้กับเกมมาตลอด ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก”
และเขายังอธิบายถึงประเด็นที่เขาเคยไล่เอเยนต์ของเขาออกด้วยว่า เป็นเพราะเขาตัดสินใจว่าต้องการควบคุมภาพลักษณ์ของตัวเอง ไม่ใช่แค่ปรากฏตัวในโฆษณาของคนอื่น และหลังจากนั้นก็เริ่มต้นทำบริษัทของตัวเองเพื่อดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจภายนอกร่วมกับเพื่อนสมัยเด็กบางคน และเขายังให้เหตุผลเอาไว้ว่า “ผมแค่รู้สึกว่าถ้าผมเติบโตขึ้นในฐานะคนที่ผมอยากเป็น ในฐานะผู้นำ ในฐานะนักธุรกิจ ผมต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ทำบางอย่างที่ผมคิดว่าจะเกิดประโยชน์กับตัวเองและคนรอบข้าง”
สำหรับแรงผลักดันที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้เริ่มจากการที่เขาเริ่มสนใจบาสเกตบอลอย่างจริงจังตั้งแต่ช่วงมัธยม และไม่ว่าจะเป็นโค้ชที่โรงเรียนหรือโค้ชที่มหาวิทยาลัยที่เขานับถือเหมือนพ่อ ก็คอยบอกเขาเสมอว่า “จงใช้บาสเกตบอลเป็นพาหนะในการไปสู่ที่ที่คุณต้องการไป” ซึ่งตัวเขาเองในตอนนั้นอาจยังไม่ค่อยเข้าใจมากนักแต่เมื่อมองย้อนกลับไปเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันหมายถึง การที่เราไม่ยอมให้เกมบาสเกตบอลใช้ประโยชน์จากเรา แต่เราใช้ประโยชน์จากมัน
“เลอบรอน เจมส์” ไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะนักบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เขายังลุยงานด้านการกุศลและการรณรงค์เพื่อสังคมด้วยเช่นกัน โดยเขาก่อตั้งมูลนิธิ “LeBron James Family Foundation” เพื่ออุทิศให้กับโครงการการกุศลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาและโครงการสำหรับเยาวชน
ผลงานล่าสุดของเลอบรอนก็คือการพาทีมชาติสหรัฐคว้าเหรียญทองได้สำเร็จอีกครั้งในการแข่งขันโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส รวมถึงได้เป็นตัวแทนถือธงชาติในพิธีเปิดการแข่งขันด้วย แต่การได้แชมป์ในครั้งนี้ก็อยู่ในช่วงที่เส้นทางการเป็นนักบาสเกตบอลของเขากำลังใกล้จะสิ้นสุดลง หรือที่เรียกกันว่า “Last Dance” เพระว่าปัจจุบันเขามีอายุ 39 ปีแล้ว และลูกชายของเขาก็เพิ่งเซ็นสัญญาเข้ามาเล่นทีมเดียวกับเขาด้วย