การไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงจะหายไป เทรนด์งานอนาคตเน้นทักษะมากกว่า

การไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงจะหายไป เทรนด์งานอนาคตเน้นทักษะมากกว่า

เส้นทางอาชีพแบบดั้งเดิมที่ว่า ยิ่งไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงๆ ก็ยิ่งมั่นคงและประสบความสำเร็จในอาชีพ กำลังจะหายไป! เทรนด์การทำงานยุคใหม่จะเน้นทักษะมากกว่าตำแหน่งงาน

KEY

POINTS

  • เส้นทางอาชีพของวัยทำงานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การไต่เต้าสู่งานตำแหน่งสูง ได้หายไปแล้ว จาก "บันไดอาชีพแบบดั้งเดิม" ที่เน้นไต่เต้าสูตำแหน่งสูง จะเป

คุณคิดว่าอาชีพของคุณมั่นคงแล้วใช่ไหม? ..วัยทำงานอาจต้องคิดใหม่! เพราะงานที่คุณทำอยู่ทุกวันนี้ อาจเปลี่ยนแปลงหรือกำลังหายไปภายในไม่กี่ปี ความรู้และทักษะที่มีอยู่ตอนนี้ ครึ่งหนึ่งอาจล้าสมัยไปแล้ว และคนทำงานจำเป็นต้องปรับตัวใหม่เพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง

นิริท โคเฮน (Nirit Cohen) นักวางกลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล ที่ปรึกษาองค์กร และผู้เชี่ยวชาญด้านอนาคตของการทำงาน ได้วิเคราะห์เทรนด์อนาคตโลกการทำงานไว้ว่า เส้นทางอาชีพของวัยทำงานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การไต่เต้าสู่งานตำแหน่งสูง ได้หายไปแล้ว จาก "บันไดอาชีพแบบดั้งเดิม" จะเปลี่ยนสู่เส้นทางที่ยืดหยุ่นกว่า

พูดให้เห็นภาพง่ายขึ้นก็คือ ในอดีต เส้นทางอาชีพมักเป็นสูตรสำเร็จที่ทุกคนทำตามกรอบนี้เป็นหลัก เริ่มจาก 1.เรียนให้จบ 2.หางานทำ 3.ไต่เต้าไปเรื่อยๆ จนเกษียณอายุงาน ความสำเร็จถูกวัดจากตำแหน่ง การเลื่อนขั้น และระยะเวลาทำงาน

แต่ตอนนี้โลกการทำงานเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้ที่มีทุกวันนี้อายุสั้นลง เหลือเพียง 5 ปีหรือน้อยกว่านั้น ทักษะที่จำเป็นในหลายอาชีพเปลี่ยนเร็วกว่าที่เส้นทางอาชีพแบบดั้งเดิมจะตามทัน และที่สำคัญ.. วัยทำงานยุคใหม่ไม่ได้ต้องการแค่เส้นทางอาชีพที่ตายตัวอีกต่อไป พวกเขาต้องการอิสระ มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลง สำรวจ และพัฒนาในแบบของตัวเอง

 

การจะอยู่รอดในโลกการทำงานยุคใหม่ให้ได้ จึงต้องปรับวิธีทำงานและสร้างเส้นทางอาชีพแบบใหม่ แทนที่จะยึดตาม "สายอาชีพ" ที่ต้องเลือกเส้นทางนั้นเพียงเส้นทางเดียว แล้วไต่เต้าไปตลอดชีวิต แต่วัยทำงานยุคนี้ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ เน้นไปที่ "การพัฒนาทักษะ" ใช้มันในบริบทที่หลากหลาย และปรับตัวอยู่เสมอ

อนีช รามัน (Aneesh Raman) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านโอกาสทางเศรษฐกิจของ LinkedIn อธิบายเรื่องนี้ผ่านรายการพอดแคสต์ The Future of Less Work ไว้ว่า ต่อไปเส้นทางอาชีพจะขับเคลื่อนด้วยทักษะ แทนที่จะยึดติดกับตำแหน่งงาน ทำให้ผู้คนมีอำนาจที่จะกำหนดอนาคตของตัวเองมากขึ้น

ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการสร้าง "เส้นทางอาชีพใหม่" ไม่ต้องไต่เต้าตำแหน่งสูงก็ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในอาชีพการงานได้  

ช่วงอายุ 20 ปี: เน้น "สะสมทักษะ" แทนที่จะมองหาเส้นทางตายตัว

ย้อนไปในยุคก่อน วัยทำงานในช่วงอายุ 20 ปี เป็นวัยที่กำลังจะเรียนจบ เลือกสายงาน เรียนรู้ชีวิต และเริ่มต้นอาชีพ ใช้ใบปริญญาเบิกทางสู่งานดีๆ อาชีพดีๆ แต่ตัดภาพกลับมาในปัจจุบัน ความรู้ดั้งเดิมมีอายุสั้น ปริญญาที่เคยเป็นตัวกำหนดเส้นทางอาชีพ ก็กลายเป็นกระดาษแผ่นเดียวที่อาจไม่มีค่าและไม่สามารถตัดสินความสามารถจริงๆ ของวัยทำงาน

รามัน อธิบายว่าถ้าคุณเริ่มสร้างอาชีพตอนช่วงอายุ 20 ปีกว่าๆ ควรเป็นเวลาของการพัฒนาทักษะ ลองทำสิ่งต่างๆ ตัดสิ่งที่ไม่ใช่ ค้นหาสิ่งที่ใช่ แล้วระบุให้ได้ว่าทักษะที่โดดเด่นของคุณคืออะไร

แทนที่จะคิดแค่ว่า "ฉันควรทำงานอะไร?" ลองถามตัวเองว่า ฉันถนัดอะไรโดยธรรมชาติ? ปัญหาแบบไหนที่ฉันอยากแก้? ทักษะอะไรที่ฉันควรมีเพื่อให้สามารถทำงานในหลายอุตสาหกรรมได้?

ช่วงเวลานี้ไม่ใช่การเดินเป็นเส้นตรง แต่เป็นการทดลองและปรับแต่งเส้นทางใหม่ๆ ทุกประสบการณ์ควรช่วยเพิ่มทักษะบางอย่างให้กับตัวคุณ ให้เหมือนว่าเรา "สะสมทักษะ" เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การสื่อสาร การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการบริหารโครงการ สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานของโอกาสในอนาคต โดยไม่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงานหรืออุตสาหกรรม

ช่วงอายุ 30 ปี: พัฒนาความเชี่ยวชาญ แทนที่จะโฟกัสแค่เรซูเม่

เส้นทางอาชีพแบบเดิมๆ มักคาดหวังให้วัยทำงานเจอเส้นทางที่มั่นคงภายในวัย 30 ปี และไต่เต้าสู่ตำแหน่งสูงต่อไปเรื่อยๆ แต่ในโลกยุคปัจจุบัน เส้นทางอาชีพไม่ได้เป็นเส้นตรง ความมั่นคงไม่ได้มาจากการอยู่ในสายงานเดิม แต่มาจาก "ความสามารถในการปรับตัว"

รามันบอกว่า ช่วงอายุ 30 ปีของวัยทำงานนั้น เป็นเวลาของการขัดเกลาทักษะ และเลือกว่าจะใช้ทักษะนั้นในบริบทไหน โดยจะเริ่มเห็นรูปแบบจุดแข็งของตัวเอง และรู้ว่าสิ่งไหนกระตุ้นให้พวกเขามีพลัง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การสร้างสิ่งใหม่ หรือการเป็นผู้นำ

สิ่งที่ควรโฟกัสในช่วงอายุนี้ก็คือ ระบุให้ชัดว่าทักษะหลักของคุณคืออะไร แล้วใช้ทักษะนั้นในบริบทที่แตกต่างกัน ทั้งในสายงานเดิมหรืออุตสาหกรรมใหม่ พร้อมกับติดตามแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ส่งผลต่อสายงานของคุณ

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม "การเปลี่ยนสายงาน" มักเกิดขึ้นในวัยนี้ บางคนลงลึกในอุตสาหกรรมเดิม ขณะที่บางคนใช้ทักษะเดิมในบริบทใหม่ เช่น จากงานสายการตลาดไปสู่งานสายผลิตภัณฑ์ จากงานสายการเงินไปสู่งานสายกลยุทธ์ หรือจากพนักงานไปสู่การเป็นที่ปรึกษา ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในวัย 30 ไม่ใช่การเลือกผิด แต่เป็นการหยุดนิ่ง ดังนั้น จึงควรพัฒนาทักษะและขยายขอบเขตสายงานให้มากขึ้นก็จะยิ่งดีและมีความยืดหยุ่นได้มากกว่า

ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป: นิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง

ในยุคอดีต คนทำงานวัย 40 ปี คือช่วงวัยที่ต้องขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ และวัย 50 คือช่วงรักษาตำแหน่งนั้นไว้จนเกษียณ แต่ในโลกการทำงานยุคปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะ เส้นทางอาชีพไม่ได้ตัดจบสูงสุดอยู่ที่วัย 50 ปีอีกต่อไป แต่มันยังพัฒนาได้ต่อไปได้อีก

ช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่การลดบทบาทลง แต่เป็นการเลือกว่าจะสร้างผลกระทบอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า "คุณสั่งสมความเชี่ยวชาญมามากมายแล้ว ตอนนี้ คุณอยากสร้างผลกระทบแบบไหน? คุณต้องการทำเงินเยอะๆ หรือคุณอยากเปลี่ยนแปลงระบบบางอย่าง?" รวมไปถึง ฉันสามารถสร้างผลกระทบได้มากที่สุดที่ไหน? ฉันอยากเป็นผู้นำ สอนงาน เป็นที่ปรึกษา หรือสร้างสิ่งใหม่? ฯลฯ 

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายคนในวัย 40-50 ถึงหันมาเป็นที่ปรึกษา นักลงทุน หรือผู้ประกอบการ พวกเขาไม่ได้แค่เลื่อนตำแหน่ง แต่กำลังออกแบบอาชีพให้เหมาะกับเป้าหมายและความพอใจของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม แม้เส้นทางอาชีพแบบเส้นตรงอาจหายไป แต่ไม่ได้แปลว่าเราไร้ทิศทาง เพียงแค่ตอนนี้ เส้นทางไม่ได้ถูกกำหนดโดยตำแหน่งงานหรือองค์กรอีกต่อไป แต่เป็นเส้นทางที่เราสร้างขึ้นเอง บนพื้นฐานของความแข็งแกร่ง ความชอบ และเป้าหมายของเรา และไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ทักษะที่เราสะสมไว้ จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราไปต่อได้เสมอ

 

อ้างอิง: Forbes