สุขเต็มอิ่ม "จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ 2557"
"ของดีแค่ปีละครั้งก็เพียงพอ"
และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมาเยือน "จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม" ที่เปิดให้เข้าชมแค่ "ปีละครั้ง" ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข
จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 600 ไร่ บนเชิงเขาพญาปราบ ตำบลตะขบ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ถือกำเนิดขึ้นในปี 2531 โดยเริ่มจากเป็นแหล่งผลิตไข่ไหมจำหน่ายให้สมาชิกเกษตรกรเพื่อรับซื้อรังสดในการผลิตเส้นไหม และเป็นพื้นที่ปลูกหม่อนอันเป็นอาหารหลักของหนอนไหม ผ่านไป 10 ปี ในปี 2541 จึงได้เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ชื่นชมบรรยากาศอันงดงาม และเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการเกษตร ตลอดจนเลือกซื้อสินค้าเกษตรจากจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม
เมื่อเวลาผ่านไป จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ก็ได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้น โดยในปี 2550 เริ่มมีการนำบ้านอีสานจากหลากหลายพื้นถิ่น ทั้งบ้านโคราช บ้านภูไท เรือนเหย้า นำมาปลูกสร้างไว้และตั้งชื่อว่า "หมู่บ้านอีสาน" พร้อมจำลองวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับ นอกจากนี้ในปี 2552 ยังมีการริเริ่มโครงการ Art on Farm เพื่อเชื้อเชิญศิลปินมาทำผลงานศิลปะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรเชิงนิเวศ และงานสถาปัตยกรรมอีสาน เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงศิลปะ ชีวิต และธรรมชาติเข้าด้วยกัน
กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ณ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 16 จัดขึ้นภายใต้ชื่องาน "จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ 2557 : ม่อน มอน สะออนหลาย" (Jim Thompson Farm Tour 2014 : Sericulture) เปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2557 ถึงวันที่ 11 มกราคม 2558
ชุติมา ดำสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ความนิยมในการท่องเที่ยวเชิงเกษตรจึงเพิ่มขึ้นตามมา สังเกตได้จากนักท่องเที่ยวของจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดด
"ปี 2555 มีนักท่องเที่ยว 8-9 หมื่นคน แต่พอมาปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 160,000 คน จริงๆ อาจจะเพราะสภาพอากาศด้วย คือถ้าอากาศหนาวคนจะมาเยอะ อย่างปีนี้เพียงแค่เปิดวันแรกคนก็มหาศาลแล้ว"
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรคนเดิมบอกว่า ในปีนี้มีความพิเศษเพิ่มขึ้น นั่นคือ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ได้ร่วมกับกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดนิทรรศการ "ม่อน มอน สะออนหลาย" เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้กับผู้ที่สนใจได้ชมกันอย่างละเอียด
ด้านตัวแทนจากกรมหม่อนไหมอย่าง ดร.สฤษดิพร ชูประยูร รองอธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า พันธกิจของกรมหม่อนไหมมีหน้าที่กำกับดูแลงานด้านหม่อนไหม เพื่อสืบสานและสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะ "พระมารดาแห่งไหมไทย" ซึ่งมุ่งมั่นทำหน้าที่ทั้งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาด้านหม่อนไหม ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ผ่านการค้นคว้าวิจัยสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับไหมไทยสู่เวทีสากล
สำหรับนิทรรศการ "ม่อน มอน สะออนหลาย" แบ่งออกเป็น 4 จุดสำคัญ คือ ชีวิตหนอนไหม สัมผัสวงจรชีวิตของหนอนไหมและวิธีการเลี้ยงไหมรูปแบบต่างๆ อาทิ การเลี้ยงไหมทรงพีระมิด สำหรับหนอนไหมโพลีและไหมจิม การเลี้ยงไหมในกระจาดและบนไม้ห้อยสำหรับหนอนไหมอีรี่ เรียนรู้ชีวิตหนอนไหมฟาการ่าท่ามกลางซุ้มต้นดาหลา ตะลุยสวนต้นหม่อน สวนมันสำปะหลัง และสวนละหุ่ง ขุมทรัพย์อาหารอันโอชะของเหล่าหนอนไหม พร้อมชมการสาธิตวิธีการสาวไหม และการจัดแสดงเครื่องสาวไหมในรูปแบบต่างๆ
กำเนิดไหม พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของไหม ที่ถือกำเนิดขึ้นในโลก ประวัติศาสตร์ของไหมไทยและจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยุคแห่งการฟื้นฟูส่งเสริม และการพัฒนาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สาวไหม และการทอผ้าไหม พร้อมสำรวจเส้นทางสายไหม (silk road) อันโด่งดัง ที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ฮั่น สู่การกระจายอารยธรรมโบราณ เสมือนเป็นจุดเชื่อมในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างจีนกับโลกตะวันตก
มาถึง ตลาดหม่อนไหม เป็นการนำเสนองานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ยกระดับหม่อนไหม สู่ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การผลิตสมุนไพร "ถังเช่า" จากหนอนไหมนางลายพันธุ์พื้นบ้านไทย ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับดักแด้ไหมจากกิโลกรัมหลักร้อยบาทเป็นหลักแสนบาท โปรตีนไหมกับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ กับความเป็นเลิศทางด้านคุณสมบัติของโปรตีนธรรมชาติที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว การเพาะเห็ดจากกิ่งหม่อน นวัตกรรมที่นำของเหลือใช้จากการเลี้ยงไหม ไม่ว่าจะเป็นกิ่งหม่อน ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดนางรมและเห็ดหอมแทนขี้เลื่อยไม้ยางพาราได้เป็นอย่างดี รวมถึงมูลไหม ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารเสริมในวัสดุเพาะเห็ดแทนรำข้าว เป็นต้น พร้อมเพลิดเพลินกับตลาดหม่อนไหม ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหมหลากหลายชนิด
สุดท้ายคือ หม่อนไหมใต้ร่มพระบารมี นำเสนอพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีต่อกิจการผ้าไหมไทย โดยได้รวบรวมประมวลภาพพระราชกรณียกิจและโครงการศิลปาชีพ รวมถึงการจัดแสดง "ตรานกยูงพระราชทาน" อันเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย การสาธิตการทอผ้าด้วยกี่เอวของชาวกะเหรี่ยง และปิดท้ายด้วยการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกรมหม่อนไหม
ใช่จะมีเพียงนิทรรศการเท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะพื้นที่กว่า 600 ไร่ของจิม ทอมป์สัน ฟาร์มนั้น ยังมีความงดงามให้ชื่นชมกันได้อย่างอิสรเสรี โดยมีรถรางให้บริการ ซึ่งแบ่งเป็นจุดท่องเที่ยว 5 จุด ที่มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป นั่นคือ จุดท่องเที่ยวที่ 1 ทุ่งคอสมอสและแปลงเก็บผักปลอดสาร พบกับทุ่งดอกคอสมอสสีชมพูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและสวนผักลอยฟ้า พร้อมสนุกสนานกับกิจกรรมเก็บผักปลอดสารพิษสดๆ จากแปลงปลูกกับ U-Pick Garden
จุดท่องเที่ยวที่ 2 ลานฟักทองและทุ่งวงกต ตื่นตากับลานฟักทองยักษ์สีสันสดใส และทุ่งวงกตดอกไม้ที่ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติแบบ 360 องศา และสามารถเดินไปยัง จุดท่องเที่ยวที่ 3 หมู่บ้านอีสาน ชมความงามของสถาปัตยกรรมอีสาน และสัมผัสวิถีชีวิตและประเพณีวัฒนธรรมอีสานแบบดั้งเดิม ที่นี่เองที่เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ "ม่อน มอน สะออนหลาย" โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวร่วมสนุกในกิจกรรมสะสมตราประทับ และตอบคำถามลุ้นของรางวัลพิเศษ
นั่งรถรางต่อมายัง จุดท่องเที่ยวที่ 4 หมู่บ้านจิม ชมและเรียนรู้กระบวนการผลิตผ้าไหมอันเป็นเอกลักษณ์ของจิม ทอมป์สันอย่างใกล้ชิดและครบทุกขั้นตอน ปิดท้ายด้วย จุดท่องเที่ยวที่ 5 ตลาดจิม เพลิดเพลินกับการชอปปิงสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรทั้งสดและแปรรูป นำกลับไปเป็นของฝากของที่ระลึกได้
สำหรับราคาบัตรหน้าฟาร์ม วันธรรมดา บัตรผู้ใหญ่ ราคา 120 บาท และบัตรเด็ก ราคา 80 บาท ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดเทศกาลปีใหม่ บัตรผู้ใหญ่ ราคา 140 บาท และบัตรเด็ก ราคา 100 บาท สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2762 2566, 08 5660 7336, 0 4437 3116 หรือ www.jimthompsonfarm.com และ www.facebook.com/JimThompsonFarm
อย่างที่บอกว่าปีนี้ จิม ทอมป์สัน ฟาร์มทัวร์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ถึงวันที่ 11 มกราคม 2558 เท่านั้น ใครยังไม่ได้ไปคงต้องรีบหน่อย