พลังน้ำใจวันไร้คลื่น
น้ำใจไมตรีในคราวนั้น ก่อตัวเป็นการให้ในวันนี้ หลังคลื่นยักษ์ซัดสาด เหลือไว้ซึ่งร่องรอยความประทับใจที่เธอไม่ลืม
แม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปี แต่ภาพเหตุการณ์ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจากพิบัติภัยทางธรรมชาติยังติดตาและไม่อาจจะสลัดทิ้งไปได้ง่าย โฮเวิร์ด เล่าว่า ครั้งนั้น ตนเองพร้อมภรรยา ลูกสาว 2 คน และญาติๆ รวม 19 คนมีแผนท่องเที่ยวมายังประเทศไทย โดยเดินทางมาถึงวันที่ 23 ธ.ค. 2547 มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ จ.ภูเก็ต
โฮเวิร์ด ยอมรับว่า ความงดงามของทะเลภาคใต้เมืองไทย ทำให้พวกเขาหลงใหล และไม่มีใครคาดคิดว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวจะเกิดเหตุสึนามิที่สร้างประสบการณ์ที่ทุกคนในครอบครัวไม่อาจลืมเลือน
"พวกเราเดินทางออกจากฝั่งด้วยเรือ 2 ลำมุ่งหน้าสู่ทะเล หวังชมความงามทะเลอันดามัน แต่แล้วเมื่อเรือแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็พบกับคลื่นลูกโตเท่ากับตึกหลายชั้น ม้วนเข้าใกล้ แล้วก็ซัดกระแทกมายังเรือเข้าเต็มแรง จนเรือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้พวกเราต้องพลัดตกจากเรือลงไปในทะเล และแยกไปคนละทิศละทาง" โฮเวิร์ดเล่า
หากแต่วันนั้นโชคดีที่คลื่นทะเลอันดามันได้พาโฮเวิร์ดมายังเกาะแห่งหนึ่ง เขาปลอดภัยดี และถูกพาอพยพไปยังพื้นที่สูง ห่างไกลจากชายหาด เพราะเกรงว่า อาจจะเกิดเหตุอาฟเตอร์ช็อกอีกรอบ
โฮเวิร์ด เล่าว่า ชาวบ้านได้ช่วยกันอพยพนักท่องเที่ยวและผู้รอดชีวิตรายอื่นๆ ขึ้นไปยังที่สูง ซึ่งเป็นจุดที่สึนามิไม่อาจเข้าถึงได้ โดยพวกเขาได้อาศัยพักพิงเป็นการชั่วคราวและรอเจ้าหน้าที่เข้ามาประสานให้การดูแลต่อจากนั้น
ด้าน ชาร์เมียน เหลียง วัย 26 ปี ลูกสาวคนเล็กของโฮเวิร์ด เล่าเสริมว่า เท่าที่จำความได้ซึ่งขณะนั้นอายุ 12 ปี หลังจากเรือลำที่นั่งถูกคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าอย่างจัง ทำให้พลัดตกลงไปในน้ำ ซึ่งถ้าเธอสลบไประหว่างผจญกับภัยสึนามิ ก็คงไม่รอด แต่ความโชคดีก็ยังมีอยู่ตรงที่คลื่นทะเลได้พาเธอมายังเกาะเดียวกับพ่อ
"ความทรงจำค่อนข้างเลือนลาง เพราะตอนนั้นฉันยังเด็กมาก แต่จำคับคล้ายคับคลาว่า หลังจากขึ้นมายังเกาะแล้ว ได้เจอกับคนท้องถิ่น พวกเขาสนใจถามไถ่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่จะพาฉันไปเจอกับสมาชิกครอบครัว และทุกคนก็ได้รับความช่วยเหลือและอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย"
จากนั้นสมาชิกครอบครัวของโฮเวิร์ดและผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิรายอื่นๆ ได้นำส่งไปพักฟื้นรักษาตัวที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า จ.พังงา
โดยระหว่างนั้น ครอบครัวของโฮเวิร์ดไม่อาจปฏิเสธถึงการรับรู้ในความมีน้ำใจของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพราะทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ดูแลซึ่งกันและกัน แบ่งปันอาหารน้ำสะอาดให้แก่ผู้ประสบภัย โดยไม่สนใจเลยว่า คนๆ นั้นเขาเป็นใคร จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนในพื้นที่ ก็ได้รับการปฏิบัติในฐานะเพื่อนมนุษย์
ลวนน่า เหลียง อายุ 62 ปี ภรรยาของโฮเวิร์ด กล่าวเสริมถึงหนึ่งในเหตุการณ์ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับโฮเวิร์ดและครอบครัว ว่า ขณะอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งได้พบกับชายคนหนึ่งพร้อมกับลูกสาว ในเวลานั้นยอมรับเลยว่า แม้กระทั่งรองเท้ายังเป็นสิ่งขาดแคลน
"โฮเวิร์ดได้ถอดรองเท้าแตะให้แก่พวกเขาไป จากนั้นชายดังกล่าวกับลูกสาวก็เดินหายไป แต่แล้วพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับรองเท้ามากมายหลายคู่ที่เก็บรวบรวมมาให้ครอบครัวของพวกเราทุกคน"
นอกจากนี้ โคลอี้ เหลียง อายุ 30 ปี ลูกสาวคนโตของโฮเวิร์ด บอกว่า ในระหว่างที่พักพิงอยู่ที่โรงเรียนตะกั่วป่า เธอได้รับอนุญาตให้ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อติดต่อกับเพื่อนที่อยู่ฮ่องกง โดยขณะนั้นมีเพียงแค่ 2 เครื่อง แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับยิ่งใหญ่แสดงถึงความเอื้ออาทรที่มีต่อกัน
หลายปีให้หลังจากนั้น โคลอี้ได้กลับไปที่โรงเรียนตะกั่วป่าอีกครั้ง เพื่อนำคอมพิวเตอร์ไปมอบให้เพื่อตอบแทนกับเหตุการณ์ดังกล่าว
โฮเวิร์ด และครอบครัว กล่าวย้ำว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายและความกังวล ในฐานะที่พวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการกลับฮ่องกงอย่างปลอดภัย แต่พวกเขากลับรู้สึกซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของชาวบ้านในพื้นที่ที่เต็มใจให้ความช่วยเหลือ โดยที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
นี่เป็นแรงบันดาลใจให้โฮเวิร์ดผุดแนวคิดจะนำ “ความมีน้ำใจ” ที่จะแทรกเข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ที่เตรียมจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือน ส.ค. 2563 โดยกลุ่มเป้าหมายโรงเรียนของเรา เป็นบุตรหลานของผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมืองใกล้กับกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี
"ขณะนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างตั้งอยู่บนพื้นที่ 168 ไร่ติดกับหมู่บ้านธนาซิตี้ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อมองจากบนเครื่องบินลงมา จะเห็นพื้นที่ตั้งโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ เป็นเหมือนแอปเปิ้ลผลใหญ่" โฮเวิร์ดบรรยาย
สำหรับหลักสูตรมีตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 12 รองรับจำนวนนักเรียนได้ถึง 1,800 คน โดยในปีแรกของการเปิดระดับการศึกษาสูงสุดเป็นเกรดแปด โดยค่าเล่าเรียนจะอยู่ที่ประมาณ 600,000 - 960,000 บาทต่อปีขึ้นอยู่กับระดับชั้นการศึกษา
โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ นำมาตรฐานการศึกษาแบบอเมริกันมาบูรณาการ และสร้างเป็นหลักสูตรเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคต ซึ่งทีมผู้บริการโรงเรียนได้ร่วมมือกับไอดีโอ บริษัทออกแบบและนวัตกรรมระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนและอาคารเรียนที่เหมาะกับโรงเรียนแห่งอนาคต โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของโรงเรียนเดิมๆ
หลักสูตรของ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ที่มีการออกแบบที่มี “นักเรียนเป็นศูนย์กลาง” นี่จะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ปกครอง เพราะหลักสูตรของเรามุ่งสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน เปิดให้คิดนอกกรอบ สนับสนุนให้นักเรียนมีความชาญฉลาด และมีทักษะที่จำเป็น “พร้อมรับมือกับโลกแห่งอนาคต” โดยมีทีมอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญคอยช่วยแนะนำและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
ในระหว่างนี้ กำลังดำเนินการขอความรับรองจากสมาคมโรงเรียนและวิทยาลัยตะวันตก (ดับบิลวเอเอสซี) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การรับรองโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนคุณภาพได้มาตรฐานในระดับสากล จะทำให้นักเรียนที่เรียนจบการศึกษาและได้รับใบประกาศนียบัตรจากโรงเรียนเวอร์โซ เป็นที่ยอมรับในกลุ่มมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
"โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ถือเป็นแห่งแรกที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มุ่งเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในยุคที่พวกเขาต้องเติบโตขึ้นมาในยุคศตวรรษที่ 21 โดยหลักสูตรการเรียนการสอนได้ผ่านการทำวิจัยและศึกษาวิเคราะห์จากบิ๊กดาต้า จากครูผู้สอน นักเรียน ผู้ปกครอง และนักธุรกิจ เพื่อออกแบบหลักสูตรมุ่งสร้างนักเรียนที่มีศักยภาพตอบโจทย์เทรนด์ในอนาคตเพราะวันหนึ่งพวกเขาต้องก้าวไปสู่ผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ" โฮเวิร์ดบรรยาย
อีกทั้ง มองว่า โรงเรียนนานาชาติต้องมีส่วนส่งเสริมนักเรียนใน 3 ส่วนสำคัญๆ ได้แก่ 1. สร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวและวัฒนธรรมนักเรียน 2. สามารถเชื่อมโยงเข้ากับชุมชนท้องถิ่นและสากลได้ และ 3. ครอบครัวต้องการให้นักเรียนมีความสามารถ มั่นใจ และทำงานได้
ขณะที่ สถาปัตยกรรมของโรงเรียนก็มีความโดดเด่น โดยอาคารเป็นทรงกลมจะให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระในการเรียนรู้ และถ้าดูจากพื้นที่โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร
ส่วนไฮไลท์อีกจุดคือ สระว่ายน้ำแบบอินดอร์ขนาด 50 เมตร ถูกสร้างขึ้นมาให้ตรงตามมาตรฐานโอลิมปิก และสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แห่งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังมีสตูดิโอเพื่อการออกแบบเกม ห้องซ้อมเต้น พื้นที่เพื่อการเต้นรำและการแสดง หอศิลป์ โรงอาหาร เลานจ์พักผ่อนสำหรับผู้ปกครอง โคเวิร์คกิ้งสเปซ คลินิกสุขภาพ สนามกีฬาของโรงเรียนที่สามารถจุคนได้ 1,000 ที่นั่ง ที่ตรงตามมาตรฐานสากล มีศูนย์ออกกำลังกาย สนามเทนนิสกลางแจ้ง สนามบาสเกตบอล และสนามฝึกซ้อมอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้ทุกฤดูกาล
โฮเวิร์ดมีแนวคิดที่ต้องการเสริมสร้างความสะดวกสบายเพื่อให้นักเรียนที่สะท้อนจากสถาปัตยกรรมของอาคารเรียนที่โดดเด่น เพราะอาคารที่ได้มาตรฐานและทันสมัย จะเสริมสร้างความสะดวกสบายให้กับนักเรียน เพื่อพวกเขาได้มี “สมาธิ” พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่นำไปต่อยอดความคิดเกิดทักษะ และทัศนคติที่ดีรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต
โฮเวิร์ด กล่าวปิดท้ายว่า ขณะนี้มีโรงเรียนนานาชาติที่ยอดเยี่ยมในกรุงเทพฯอยู่มากมาย ซึ่งการเปิดโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ก็เพื่อต้องการมีหลักสูตรดีๆให้กับนักเรียนในประเทศไทย โดยเฉพาะหลักสูตรที่สอนถึง ความมีน้ำใจควบคู่กับการเป็นเก่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ อันเป็นรากฐานการพัฒนาของประเทศ