เปิดบทสัมภาษณ์ 'บงจุนโฮ' ผู้นำ 'PARASITE' ผงาดเวที 'ออสการ์ 2020'
เปิดบทสัมภาษณ์ “บงจุนโฮ” บิดาหนังเกาหลียุคใหม่ ผู้กำกับ “PARASITE ชนชั้นปรสิต” ผู้นำหนังเกาหลีผงาด คว้ารางวัลใหญ่บนเวที ออสการ์ 2020
ในที่สุดก็เป็นที่รู้กันแล้วว่า หนังเกาหลีเรื่อง "Parasite ชนชั้นปรสิต" ซึ่งกำกับโดย “บงจุนโฮ” สามารถคว้ารางวัลใหญ่ "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" โดยกวาดมาทั้งสิ้น 4 รางวัลจากเวทีออสการ์ 2020 หลังจากหนัง Parasite เคยไปคว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาครองได้แล้วก่อนหน้านี้
เบื้องหลังแนวคิด หนังจิกกัดชนชั้นแบบเจ็บแสบเรื่องนี้ เป็นมาอย่างไร?
ติดตามได้ในบทสัมภาษณ์ "บงจุนโฮ" ชายผู้ถูกยกให้เป็น "บิดาของหนังเกาหลียุคใหม่" และเจ้าของรางวัล "ผู้กำกับยอดเยี่ยม" ของออสการ์2020 ได้ที่นี่!
ชื่อเรื่อง Parasite มีความหมายอย่างไรกันแน่
ตอนแรกทุกคนต่างคาดหวังว่า Parasite จะต้องเป็นหนังสัตว์ประหลาดหรือหนังไซ-ไฟ เพราะมันเชื่อมโยงจากหนังเรื่องก่อนของผม The Host แต่ตัวละครในหนังเรื่องนี้คือมนุษย์ เป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ อยากใช้ชีวิตผูกสัมพันธไมตรีกับผู้อื่น แต่มันไม่ได้ผลสำหรับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเลยถูกผลักให้ต้องมีความสัมพันธ์แบบปรสิต ผมมองว่ามันเป็นหนังแนวโศกสุข (โศกนาฏกรรมผสมสุขนาฏกรรม) ที่เต็มไปด้วยความตลก ความสยอง และความเศร้า เมื่อคำนึงว่าคุณอยากใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมสุข ประสบความสำเร็จ แต่มันยากเย็นเหลือเกิน
คุณจัดประเภท Parasite ไว้เป็นหนังประเภทไหน
เป็นหนังดราม่าชีวิตคนครับ แต่เล่าถึงยุคร่วมสมัย แม้พล็อตเรื่องจะมาพร้อมเหตุการณ์และสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงบนโลก อาจมองเป็นเหตุการณ์จริงที่เราอ่านเจอในข่าวแล้วเอามาทำเป็นหนังจอใหญ่ได้เลย มันจะมีเซนส์ของความสมจริง
แต่ถ้ามีคนเรียกว่าเป็นหนังอาชญากรรม-ครอบครัว หนังตลก หนังดราม่าเศร้าสร้อย หรือหนังระทึกขวัญสั่นประสาท ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมพยายามพลิกแพลงความคาดหวังของคนดู และหวังว่าใน Parasite ผมจะทำสำเร็จ
ครอบครัวที่เป็นจุดศูนย์กลางของ Parasite คือใคร
พวกเขาเป็นครอบครัวชนชั้นล่างอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ คาดหวังอยากมีชีวิตที่ดี ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่ขนาดหวังเพียงแค่นั้นยังเป็นจริงได้ยาก คนพ่อล้มเหลวด้านธุรกิจมาหลายครั้ง คนแม่มีความสามารถด้านกีฬา ฝึกฝนมานานแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนลูกชายลูกสาวก็สอบตกบ่อยจนเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้
กลับกันกับครอบครัวคุณพัค เขาทำงานเป็น CEO ของบริษัทไอที เป็นคนเก่งมีความสามารถ ร่ำรวย เขามีภรรยาสาวแสนสวย มีลูกสาวและลูกชายน่ารัก กำลังอยู่ในวัยเรียน แต่คุณพัคเป็นพวกบ้างาน พวกเขาถูกมองว่าเป็นครอบครัวในอุดมคติท่ามกลางกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม
พวกเขาเป็นครอบครัวชนชั้นล่างอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ คาดหวังอยากมีชีวิตที่ดี ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ แต่ขนาดหวังเพียงแค่นั้นยังเป็นจริงได้ยาก
คุณเอาอะไรมาคัดเลือกนักแสดง
ในหนังเรื่องนี้ สำคัญมากที่ต้องรวมนักแสดงที่สามารถเล่นกันอย่างเข้าขา เป็นทีมที่เปี่ยมประสิทธิภาพแบบทีมฟุตบอล พวกเขาต้องทำให้เห็นภาพของความเป็นครอบครัวเดียวกันได้ตั้งแต่แรกเห็น ผมคิดหนักมากครับ คนแรกที่ผมเลือกคือ ซงคังโฮ จากนั้นผมถ่าย Okja แล้วได้ร่วมงานกับ ชเววูชิก ผมว่าน่าจะดีเหมือนกันถ้าให้เขามาเล่นเป็นลูกของ ซงคังโฮ
แล้วก็ได้ พัคโซดัม มาเล่นเป็นน้องสาว เธอมีฝีมือการแสดงที่ดีมาก มีความโดดเด่น ทำให้เส้นแบ่งความจริงดูพร่าเลือน การได้พวกเขามาเล่นสำคัญมาก เพราะพวกเขาต้องอยู่ด้วยกันแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ
ส่วน จางฮเยจิน ผมชอบความเข้าใจและการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของเธอในหนังเรื่อง The World of Us ผมเลยเลือกเธอให้มารับบทภรรยาของ ซงคังโฮ
ส่วนครอบครัวตระกูลพัค ผมไม่อยากสร้างภาพคลิเช่ให้เป็นครอบครัวชนชั้นนำแบบที่เห็นกันตามละครโทรทัศน์ ผมจะเลือกนักแสดงจากภาพลักษณ์ภูมิฐานที่ดี ผมประทับใจเสน่ห์หลากหลายแง่มุมของ อีซอนกยุน มาตลอด เลยเลือกเขามารับบทคุณพัค ส่วน โจยอจอง เธอทำให้ผมนึกถึงเพชรในตมที่ยังไม่ได้เจียระไน ผมเลยเลือกเพราะอยากเห็นเธอเผยความงดงามในส่วนลึกออกมา นี่ไม่ใช่หนังที่มีตัวละครเอกตัวเดียว ฉะนั้นการแสดงของทุกคนที่ต้องรับส่งกันอย่างเข้าขาจึงสำคัญอย่างยิ่ง
นี่ไม่ใช่หนังที่มีตัวละครเอกตัวเดียว ฉะนั้นการแสดงของทุกคนที่ต้องรับส่งกันอย่างเข้าขาจึงสำคัญอย่างยิ่ง
ในสังคมทุนนิยมทุกวันนี้มีชนชั้นและวรรณะซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เราแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยปละละเลย
ภาพสังคมปัจจุบันที่คุณต้องการนำเสนอคือภาพแบบไหน
ผมคิดว่าวิธีที่จะแสดงภาพของชนชั้น และความไม่เท่าเทียมในสังคมได้คือทำออกมาเป็นหนังตลกปนเศร้า เราอยู่ในยุคสมัยที่ทุนนิยมเรืองรองและไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เพียงแค่ในเกาหลี ทั่วทั้งโลกต่างเจอปัญหานี้ ไม่สามารถเพิกเฉยต่อระบบทุนนิยมได้
ในโลกแห่งความเป็นจริง วิถีชีวิตของครอบครัวตกอับแบบตัวละคร 4 คนในเรื่อง และครอบครัวตระกูลพัค ไม่น่ามีวันจะได้มาเจอกัน ตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่จะนำพาทั้ง 2 ชนชั้นมาเจอกันได้คือมีการจ้างงาน เช่น ให้มาเป็นติวเตอร์ หรือจ้างเป็นคนใช้ในบ้าน
กรณีแบบนั้นเกิดขึ้นแล้วจะทำให้ทั้ง 2 ชนชั้นใกล้ชิดกันมากพอจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ในหนังเรื่องนี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดคิดร้ายต่อกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างถูกดึงให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่ความผิดพลาดเพียงนิดเดียว สามารถนำไปสู่ความแตกแยกและแตกหักได้
ในสังคมทุนนิยมทุกวันนี้มีชนชั้นและวรรณะซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เราแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ปล่อยปละละเลย และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับลำดับชั้นทางสังคมที่ตกทอดมาตั้งแต่ในอดีต แต่ความจริงคือมันมีเส้นแบ่งทางชนชั้นที่ไม่สามารถข้ามได้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นรอยแยกดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นระหว่างชนชั้น เป็นปัญหาซึ่งกันและกัน และยิ่งห่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมทุกวันนี้
คุณหวังว่าคนดูจะได้อะไรกลับไปจากเรื่องนี้
ผมหวังว่าจะทำให้คนดูได้ครุ่นคิดถึงหนังเรื่องนี้ ทั้งในส่วนที่ตลก น่ากลัว และเศร้า และถ้าหากทำให้คนดูมานั่งล้อมวงพูดคุยแชร์เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับหนังขณะรับชมได้ แค่นั้นก็พอแล้วครับ
หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ ตีพิมพ์ในเซคชั่นจุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 62