ปีติบรรพชาถวายพระกุศล 'เจ้าฟ้าจุฬาภรณ'
ในโอกาสครบรอบ 10 ปี โรงพยาบาล จุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ร่วมกับ สำนักงานพระธรรมทูตสายอินเดีย ประเทศอินเดีย-เนปาล จัดโครงการบรรพชา อุปสมบทหมู่และปฏิบัติธรรมถวายพระกุศล แด่ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
มีคณะผู้บริหารและบุคลากรในสังกัด ร่วมน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณด้วยการเข้าร่วมบรรพชาอุปสมบทหมู่ถวายเป็น พระกุศลในครั้งนี้ จำนวน 44 คน โดยคณะเดินทางจาริกปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิยังพุทธสังเวชนียสถาน ทั้ง 4 แห่ง รวมทั้งพุทธสถานสำคัญ ณ สาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล
การนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้า น้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จเป็นองค์ประธานพิธี บรรพชา ณ บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองคยา สาธารณรัฐอินเดีย พิธีมหามงคล อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดไทยพุทธคยา และพิธีลาสิกขาบท ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สำคัญของ พระพุทธศาสนา ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา และหัวหน้า พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล กล่าวว่า “การเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติธรรม เป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกร ทุกชาติ ทุกศาสนา ว่าทรงมีจิตเกื้อกูลต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะชาวอินเดียต่างปลื้มปีติเมื่อทราบข่าวว่า ราชกุมารีทรงมาไหว้พระในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูง ทรงเป็นผู้ตั้งมั่นศรัทธามาแสวงบุญเพื่อทำนุบำรุงพระศาสนา ชาวอินเดียเมื่อทราบข่าวนี้ ต่างพร้อมใจกันทำความสะอาดศาสนสถาน เพื่อถวายการต้อนรับพระองค์ท่าน”
อีกทั้งชาวอินเดียยังได้รับพระกรณุาธิคุณด้านการแพทย์ โดยมีหน่วยแพทย์พระราชทานจากประเทศไทย มาทำการรักษา ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลพระพุทธเจ้า ภายในวัดไทยพุทธคยาและสถานพยาบาลกุสินาราคลินิกในวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เนื่องจากทรงทราบว่าราษฎรที่พักอาศัยในชุมชนโดยรอบประสบปัญหาด้านสุขภาพ รวมไปถึงผู้มาแสวงบุญ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ศรีลังกา พม่า ลาว ยุโรป ก็พลอยได้รับพระกรุณาธิคุณเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ตระเตรียมยาและเวชภัณฑ์ไว้คอยตรวจรักษา ในบางรายที่ไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ก็มีล่ามคอยแปลให้ เกิดความอุ่นใจว่า หน่วยแพทย์พระราชทาน เปรียบเสมือนเป็นฝ่ายดูแลสุขภาพทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลใจ
ศาสตราจารย์นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมบรรพชา กล่าวว่า “ทางโรงพยาบาลจุฬาภรณ์นำนายแพทย์มาช่วยดูแลชาวพุทธที่มาศึกษาพระธรรมในอินเดีย เรามีบริการรักษาโรคทางเดินอาหาร โรคทางเดินหายใจ กรมพระศรีสวางควัฒนวรขัตติยราชนารีทรงยินดีที่ได้ช่วยประชาชน อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า ทรงเห็นถึงความยากลำบากของพสกนิกรนับตั้งแต่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในถิ่นทุรกันดารเมื่อครั้งมีพระชนมายุ 14 พรรษา พันธกิจในด้านการดูแลรักษาคนไข้ การทำนุบำรุงศาสนา เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนทราบมาโดยตลอดว่าทรงมีศรัทธา เข้าพระทัยลึกซึ้งในศาสนา
ในครั้งนี้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ก่อตั้งครบรอบ 10 ปี จัดโครงการบวชเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่พระองค์ท่าน ทรงลำบากเพื่อประชาชนชาวไทย ทรงมุ่งมั่นสานต่อพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการช่วยดูแลสุขภาพพสกนิกรทุกหนแห่ง โดยเฉพาะระยะหลัง จากการออกหน่วยแพทย์พอ.สว. (หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ทรงเห็น ความสำคัญเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่มีคนทนทุกข์ทรมาน ทรงรับคนไข้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีคนไข้บางส่วนไม่ได้รับสิทธิในการเบิกค่ารักษาพยาบาล ทรงช่วยเหลือด้วยการวาดภาพ ถักสร้อยหารายได้เพื่อทรงนำมาก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เนื่องจากพระองค์ท่านทรงมีพระประสงค์ช่วยคนไทย ดังนั้นเครื่องไม้ เครื่องมื่อในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์เป็นอุปกรณ์ทัดเทียมต่างประเทศ งานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าไปมาก
รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือโรงพยาบาล พัฒนาศูนย์มะเร็งในจังหวัดน่าน ร้อยเอ็ด ล่าสุดที่เพชรบูรณ์ คณะทำงานร่วมกันวางระบบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดี เป้าหมายต่อไปคือขยายโรงพยาบาลเป็น 400 เตียง โครงการศูนย์บำบัดรักษาโปรตอน-คาร์บอนแห่งชาติ ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมทั้งการนำ Heavy Particle Therapy เป็นเทคโนโลยีสำหรับการรักษาโรคมะเร็งที่มีผลข้างเคียงน้อย การผลิตยารักษามะเร็งทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ เป็นสิ่งหนึ่งที่เรากำลังดำเนินการตามพระดำรัสที่พระองค์ท่านเคยรับสั่ง ถึงพระปณิธานว่าตั้งพระทัยว่าโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับการรักษาอย่างดีเยี่ยมเหมือนผู้มีฐานะทั่วไปและคณะทำงานยึดมั่นสิ่งนี้เสมอมา”