“วอดก้า” เครื่องดื่มร่วมสายเลือด “รัสเซีย-ยูเครน”
ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย-ยูเครน” ลุกลามมาลงใน “ขวดเหล้า” รายใหญ่เมื่อ ”สโตลิ กรุ๊ป” เจ้าของ “วอดก้า” ชื่อดัง ”สโตลิคนายา” เตรียมจะเปลี่ยนชื่อวอดก้าเป็น “สโตลิ วอดก้า” (Stoli Vodka)
สโตลิคนายา (Stolichnaya) นั้นไม่ธรรมดา เป็นยักษ์ใหญ่ วอดก้า ระดับหัวแถวของโลก มีต้นกำเนิดในโกดังหมายเลข 1 สำหรับเก็บไวน์ของมอสโก เปิดในปี ค.ศ.1901 โดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ให้ผลิตวอดก้าคุณภาพสูง
Stolichnaya เตรียมเปลี่ยนชื่อ
ปี 1953 Stolichnaya แนะนำตัวครั้งแรกในงานการค้าระดับนานาชาติ ที่กรุงเบอร์ลิน และได้เหรียญทองกลับมา ก่อนการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ขวดที่ใช้บรรจุเพื่อการส่งออกผลิตในยูเครน
ปี 1972 บริษัท เป๊ปซี่-โคลา (Pepsi-Cola Company) ทำข้อตกลงกับรัฐบาลสหภาพโซเวียต ขอเป็นผู้ส่งออก Stolichnaya ไปยังตลาดตะวันตก ทำให้ Pepsi-Cola เป็นบริษัทอเมริกันเจ้าแรกที่ได้รับอนุญาตให้ผลิต ทำการตลาด และขายได้
และในช่วงล่มสลายของสหภาพโซเวียตนั้น ก็มีความพยายามจะผ่องถ่ายบริษัท VO Sojuzplodoimport (ต่อมาเป็น VVO Sojuzplodoimport) รัฐวิสาหกิจที่ผลิต Stolichnaya ไปยังเอกชน
วอดก้า พรีเมี่ยม
ปี 1997 VVO Sojuzplodoimport ก็ตกเป็นของกลุ่มธุรกิจสปิริตของเอกชนชื่อ SPI Group ที่จดทะเบียนในลักเซมเบิร์ก เจ้าของคือ ยูริ เชฟเลอร์ (Yuri Shefler) มหาเศรษฐีชาวรัสเซียซึ่งซื้อมาในราคา 285,000 ดอลลาร์สหรัฐ และครองความยิ่งใหญ่แห่ง วอดก้า รัสเซีย มาตราบเท่าทุกวันนี้ โดย SPI Group กรุ๊ปนั้นขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 380 แบรนด์ใน 160 ประเทศทั่วโลก
วอดก้า บาร์
นอกจากรัสเซียและยูเครนแล้ว ในอาณาบริเวณนั้นมีความผูกพันกับ วอดก้า อันเป็น วัฒนธรรมวอดก้า ที่ยังเกี่ยวโยงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในรูปแบบต่าง ๆ และอาจเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัย
วอดก้า มีความผูกพันลึกซึ้งกับชีวิตและจิตใจของทั้งคนรัสเซียและประเทศรัสเซีย จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น เหล้าประจำชาติ ในศตวรรษที่ 16
โจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง 1953 เคยกล่าวไว้ว่า
“วอดก้านำมาซึ่งรายได้หลักของประเทศ การเลิกผลิตเหล้าวอดก้าเท่ากับการสูญเสียรายได้มหาศาล”
วอดก้า นานาชาติ
สมัยที่ยังเป็นสหภาพโซเวียต คนรัสเซียต้องเข้าแถวรอคิวซื้อวอดก้า ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เมื่อซื้อมาแล้วก็แบ่งกันดื่ม ทุกคนจะมีแก้วประจำตัว วอดก้าคนละเป๊กตามด้วยขนมปังดำแบบรัสเซีย และเกลือนิดหน่อย แค่นั้นก็เป็นความสุขของคนรัสเซียยุคนั้น ขณะที่ วอดก้ากับคาเวียร์ เป็นเมนูของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
วอดก้ากับคาเวียร์
ตามผับในรัสเซียถ้ามีการดีดนิ้วชี้เบา ๆ ที่ก้านคอด้านข้าง แสดงว่าเขาชวนดื่มเหล้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก วอดก้า
วัฒนธรรมรัสเซียไม่เคยถือว่าความเมาหรือคนเมา เป็นพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์หรือน่ารังเกียจแต่อย่างใด อย่างน้อยวอดก้าก็ทำให้ร่างกายของพวกเขาไม่แข็งตาย ยามที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิลดต่ำลงไปจนสิ่งมีชีวิตแทบจะทนไม่ได้
แหล่งผลิตวอดก้า
โปแลนด์ ชาติที่รองรับผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวอดก้าอย่างยาวนาน ทั้งโปแลนด์และรัสเซีย ต่างคุยว่าตัวเองเป็นเจ้าตำรับวอดก้า
บางตำนานเล่าว่า วอดก้าถือกำเนิดในโปแลนด์เมื่อศตวรรษที่ 9 แล้วแพร่หลายไปในประเทศแถบยุโรปตะวันออก และรุ่งโรจน์มีชื่อเสียงที่รัสเซียในศตวรรษที่ 14 เมื่อทูตแห่งสหราชอาณาจักรเดินทางไปมอสโก ได้รับการต้อนรับด้วย วอดก้า จากนั้นวอดก้าก็ได้ยกในฐานะเป็นเครื่องดื่มประจำชาติชาติรัสเซีย
เครื่องกลั่นวอดก้าแบบชาวบ้าน
ขณะที่คำว่า Vodka มีชื่อเดิมว่า "กอร์ซัลคา" (Gorzalka) เปลี่ยนเป็น "โอโควิตา" (Okowita) ซึ่งเรียกกันมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็น "Vodka" ซึ่งนำมาจากคำเดิมในภาษาโปแลนด์คือ "โวดา" (Woda) แปลว่า "น้ำน้อย" หมายถึงเป็นเหล้าที่มีน้ำเล็กน้อย ขณะที่มีแอลกอฮอล์สูง
ค็อกเทลส่วนผสมจากวอดก้า
วอดก้า ไม่ได้มีกฎบังคับว่าจะต้องผลิตจากวัตถุดิบอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจึงเห็นวอดก้าที่ผลิตจากหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทย และหลากหลายธัญพืช เช่น ข้าวไรย์ ข้าวสาลี ข้าวโพด องุ่น มันฝรั่ง กากน้ำตาล เมื่อเอาวัตถุดิบเหล่านั้นมาเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์แล้วจึงนำไปกลั่น และไม่ได้จำกัดว่าจะต้องกลั่นกี่ครั้ง
วอดก้าทำจากมันฝรั่ง
วอดก้าที่ทำจากข้าวสาลี (Wheat) และข้าวไรย์ (Rye) ถือเป็นวอดก้าระดับสุพีเรีย (Superior) ส่วนคุณภาพรอง ๆ ลงไปจะทำจาก มันฝรั่ง (Potato) ข้าวโพด (Corn) และกากน้ำตาล (Mollasses)
วอดก้าที่ผ่านกระบวนการกลั่นหลายครั้ง จะมีแอลกอฮอล์สูงกว่าและความบริสุทธิ์กว่า ยิ่งกลั่นมากก็จะยิ่งได้วอดก้าที่ “ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส” มากขึ้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของวอดก้า แต่วอดก้าบางตัวที่ราคาถูกและผ่านกระบวนการกลั่นน้อยครั้ง อาจจะยังคงมีรสชาติ และกลิ่นหลงเหลืออยู่ก็ได้
วอดก้านานาชาติ
สุดท้ายจะกลั่นกี่ครั้งก็ตาม สิ่งที่ได้ตอนนี้ยังดื่มไม่ได้ เพราะแอลกอฮอล์สูงมาก ต้องตัดด้วย “น้ำ” ให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ดังนั้นน้ำจึงถือเป็นหัวใจของส่วนผสมของวอดก้า โดยวอดก้าคุณภาพพรีเมี่ยมหรือแพง ๆ จะให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำและชูเป็นจุดขาย
หนึ่งในแบรนด์วอดก้าชื่อดังของรัสเซีย
วอดก้า เป็นนิวทรัล สปิริต (Neutral Spirit) คือ สุราที่มีความเป็นกลาง กล่าวคือ “ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรส” จึงนำไปใช้เป็นส่วนผสมหลักของค็อกเทลหลายชนิด เพราะนอกจากจะเป็นการชูกลิ่นและรสชาติแล้ว ยังไม่ทำร้ายส่วนผสมอื่น ๆ ด้วย
กรรมวิธีการผลิตเหล้าวอดก้า มีขั้นตอนคล้ายการผลิตวิสกี้ ส่วนที่แตกต่างคือ วอดก้าไม่บ่มในถังไม้โอ๊ค (Maturing) และในการผลิตเหล้าวอดก้าจะมีขั้นตอนพิเศษกว่าเหล้าชนิดอื่น ๆ คือมีการกรองผ่านถ่านไม้หรือชาโคล (Charcoal) เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์วอดก้า ในโปแลนด์
รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งชาติใกล้เคียงอีกหลายชาติ ล้วนอยู่ใน วัฒนธรรมสายเลือดแห่งวอดก้า ด้วยกันทั้งสิ้น หวังว่าสงครามจะสงบโดยเร็ว !