"ฝุ่นPM 2.5" กลับมาแล้ว รวม "ความรู้สู้ฝุ่น" ฉบับอยู่บ้านทำได้เอง

เตรียมทบทวน "ความรู้สู้ฝุ่น" รับมือ “ฝุ่น PM2.5” ที่กำลังกลับมา มีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้เองเพื่อดูแลบ้านและสุขภาพให้อยู่รอดปลอดภัยในวันที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
ระหว่างที่คนกรุงเทพฯ กำลังใจจดจ่อกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และเตรียมตัวที่จะหยุดยาวในช่วงเทศกาล “สงกรานต์” ที่กำลังมาถึง เวลาเดียวกับนี่เองที่ “ฝุ่นPM 2.5” ได้กลับมารุกรานผู้คน และยึดพื้นที่ความเป็นมลภาวะเบอร์ต้นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพ
วันที่ 10 เมษายน 2565 ศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในกรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน "PM 2.5" ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร พบว่าเกินมาตรฐาน (มาตรฐานไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 68 พื้นที่
ขณะที่ คำเตือนจากศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์ถึงแนวโน้ม "ฝุ่น PM 2.5"ว่า ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะยังพบค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จึงควรงดกิจกรรมในที่โล่งระหว่าง วันที่ 9 - 11 เมษายน 2565
นั่นหมายความว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ ฝุ่น PM 2.5 จะอยู่กับเราสักพัก และในวันที่ชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับฝุ่น หากจะรอผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ก็คงจะช้าเกินไป หรือการจะรอความพร้อมใจกันลดการก่อสร้าง การออกจากบ้านก็เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก ด้วยเหตุนี้คงไม่มีอะไรดีเท่ากับการทบทวน “ความรู้สู้ฝุ่น” ฉบับที่เราสามารถทำได้เองตั้งแต่วันนี้ และเป็นเรื่องที่เคยจำได้ แต่อาจหลงลืมไป
จัดบ้านสู้กับฝุ่น
เมื่อคิดจะพึ่งพาตัวเองในการ สู้ฝุ่น ก็ต้องเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน นั่นเพราะบ้านเป็นหน่วยที่พักอาศัยซึ่งใกล้ชิดกับการดำเนินชีวิตประจำวันมากที่สุด
งานเสวนาพิเศษ หัวข้อ “ฝุ่น PM 2.5 จะผ่านไป แล้วไงต่อ?” จัดโดยสภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรมแห่งประเทศไทย เคยสรุปไว้ว่า แนวคิดการออกแบบบ้านในเขตเมืองเพื่อรับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการจัดการเมืองสมัยใหม่ หรือ Urban Management ที่ผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ต้องเตรียมรับมือเอาไว้ และการเตรียมบ้านเพื่อสู้กับฝุ่น เริ่มจาก
- ลดช่องลมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน เนื่องจากฝุ่นละอองจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศเย็นปะทะกับอากาศอุ่น ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะที่สภาพอากาศปิด โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ที่ลมหนาวจะพัดฝุ่นเข้าบ้านจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น บ้านที่อยู่ในพื้นที่ฝุ่นละอองหนาแน่น จึงควรลดช่องลมหรือเบี่ยงทิศตัวบ้านให้ออกจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองภายนอกพัดเข้าสู่ตัวบ้าน
- เพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน การออกแบบงานภูมิทัศน์ หรือการจัดสวนไม้ประดับ ควรเลือกต้นไม้ที่มีลักษณะใบคล้ายใบสน มีใบเล็กแหลมและแน่น โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีฝุ่นเป็นจำนวนมาก หากมีพื้นที่บริเวณบ้านควรปลูกหญ้าคลุมพื้นดินแทนการเทปูน และสามารถนำต้นไม้มาประดับตกแต่งผนังแทนการใช้กระเบื้อง การออกแบบงานภูมิทัศน์ นอกจากช่วยในการดักจับฝุ่นแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศมากขึ้น
- เลี่ยงวัสดุที่จับฝุ่นง่าย การเลือกใช้วัสดุตกแต่งบ้านและการออกแบบบางประเภทอาจทำให้เกิดฝุ่น เช่น การใช้เหล็กดัดลวดลาย การออกแบบผนังด้วยการเรียงอิฐไม่ฉาบปูน หรือการใช้อิฐโชว์แนว การออกแบบผนังหรือพื้นเป็นปูนพลาสเตอร์ปั้น และหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดฝุ่น เช่น ผ้าม่าน ผ้าขนสัตว์ ผ้ากำมะหยี่ พรม เป็นต้น
- ติดตั้งเครื่องกรองและแผ่นกรองอากาศ การติดตั้งเครื่องกรองอากาศเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณฝุ่นภายในบ้านได้ แต่จำเป็นต้องทำความสะอาดเครื่องกรองและแผ่นกรองเป็นประจำ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อโรค และหากมีการใช้พรมเช็ดเท้าและพรมปูในบ้าน ควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองภายในบ้าน
- เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ให้พอดีกับฝ้าเพดาน เนื่องจากพื้นที่ว่างบริเวณหลังตู้และเพดาน เป็นจุดอับที่ยากต่อการทำความสะอาด และเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นละออง ดังนั้น จึงควรเลือกขนาดเฟอร์นิเจอร์ที่มีความสูงให้พอดีหรือติดกับฝ้าเพดาน หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใช้ผ้าคลุมโต๊ะ ตู้ และวางของบนโต๊ะให้น้อยที่สุด
ต้นไม้ฟอกอากาศ อินเทรนด์ไม่มีเอาท์
เทรนด์การปลูกต้นไม้ เปลี่ยนไปบ้างในแต่ละช่วงเวลา แต่ต้นไม้ฟอกอากาศยังเป็นตัวเลือกลำดับแรกๆ ของผู้ที่คิดจะเลือกต้นไม้สักต้นมาไว้ที่บ้านในยามที่ต้องสู้กับสงครามฝุ่นแบบไม่รู้จบ
หลักการปลูกต้นไม้ประเภทนี้เรียบง่ายมาก นั่นคือความต้องการให้ ต้นไม้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการดักจับสารพิษในอากาศ สามารถป้องกันฝุ่นละออง เพราะส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ โดยเฉพาะใบ สามารถช่วยดักฝุ่นได้ดี ซึ่งฝุ่นละอองที่ลอยอยู่บนอากาศจะผ่านต้นไม้ติดค้างอยู่บนผิวใบ โดยพืชตระกูลสนจะช่วยดักจับฝุ่นได้ เพราะโครงสร้างของใบมีความละเอียดซับซ้อน
เช่นเดียวกับไม้เลื้อยที่มีพื้นผิวใบมากกว่าต้นไม้อื่น ด้วยลักษณะใบที่เรียวเล็ก ชื้น หยาบ มีขน หรือผิวใบที่เหนียวจะทำให้ฝุ่นเกาะติดใบได้ดี ส่วนลำต้น กิ่งก้านที่มีโครงสร้างพันกันอย่างสลับซับซ้อนมีส่วนช่วยดักจับฝุ่นได้เช่นกัน
สำหรับต้นไม้ดักจับฝุ่น ซึ่งกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยแนะนำ ได้แก่ ไทรเกาหลี, คริสตินา, โมก, ตะขบ, การเวก, พวงครามออสเตรเลีย, อโศกอินเดีย, สนฉัตร แต่ถึงเช่นนั้นไม่ควรปลูกไม้ผลัดใบเพราะบางช่วงไม่มีใบดักจับฝุ่น ก่อนปลูกจึงต้องเลือกชนิดต้นไม้ให้เหมาะสมกับสภาพหรือบริเวณที่จะปลูก
สำหรับไม้ประดับภายในอาคารหรือในบ้านให้เลือกที่สามารถปลูกได้ง่าย อาทิ พลูด่าง ลิ้นมังกร กล้วยไม้พันธุ์หวาย เบญจมาศ เยอบีร่า เสน่ห์จันทร์แดง ที่ช่วยดูดสารพิษได้มาก
How to สู้ฝุ่น
ก่อนที่โควิด-19 จะกลายเป็นวาระลำดับแรกที่ผู้คนให้ความสำคัญ ครั้งหนึ่งฝุ่น PM2.5 ก็เคยเป็นวาระระดับชาติ ซึ่งกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยออกคู่มือแนะนำให้ประชาชนเตรียมตัวดูแลสุขภาพตนเองและบุคคลในครอบครัวเพื่อ รับมือกับฝุ่น PM2.5 ดังต่อไปนี้
- การติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิดก่อนออกจากบ้าน ได้ที่เว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th หรือแอปพลิเคชัน “Air4Thai” ของกรมควบคุมมลพิษ และปฏิบัติตนตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- สำรองหน้ากากป้องกันฝุ่น เช่น หน้ากากอนามัย หรือหน้ากาก N95
- ดูแลสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แกงจืดตำลึง ผัดผักบุ้ง ฟักทองผัดไข่ ผัดบรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก แครอทลวก บรอกโคลีลวกจิ้มน้ำพริก เป็นต้น
- ทำความสะอาดบ้าน และอุปกรณ์ภายในบ้าน โดยเฉพาะจุดที่สะสมฝุ่น เช่น แอร์ พัดลม มุ้งลวด เครื่องนอน และเน้นการทำความสะอาดด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำ
- หมั่นตรวจเช็กบ้านปิดช่องหรือรู ตามขอบประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 จากภายนอกไม่ให้เข้ามาในอาคารในช่วงฝุ่นสูง
- วันที่ฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการออกไปทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้งให้เปลี่ยนมาออกกำลังกายภายในอาคารแทน
- สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรสำรองยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- สังเกตตนเองและบุคคลในครอบครัว หากพบอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์
- ช่วยกันลดฝุ่น PM2.5 เช่น ลดการปิ้งย่างที่ใช้เตาถ่าน งดจุดธูปเทียนทั้งภายในและภายนอกอาคาร งดการเผาในที่โล่ง ลดการใช้รถดีเซลที่ปล่อยควันดำ รวมถึงร่วมปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดักฝุ่นละออง
อ้างอิง : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข