วัดอรุณ มณฑปเอียง กรมศิลปากรยืนยันโครงสร้างพระปรางค์วัดอรุณยังไม่มีปัญหา
กรมศิลปากร เผยสาเหตุมณฑปทิศใต้ 'วัดอรุณ' เอียงเข้าหาองค์พระปรางค์ หลังใช้เทคโนโลยี 3D เก็บข้อมูลโบราณสถาน ยืนยันโครงสร้างพระปรางค์วัดอรุณไม่มีปัญหา
จากกรณีที่ กรมศิลปากร ดำเนินการจัดเก็บข้อมูล 3D โบราณสถาน ด้วยวิธีสแกนภาพสามมิติ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ตามโครงการเก็บข้อมูลโบราณสถานโดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการดูแลโบราณสถานของชาติ ซึ่งผลการสแกนพบมณฑปด้านทิศใต้เอียงเข้าหาองค์พระปรางค์เล็กน้อยนั้น
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ยืนยันเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2566 ว่า จากวิธีสแกนภาพสามมิติดังกล่าว ยังไม่มีเหตุบ่งชี้ว่า 'การเอียง' ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันตรายต่อตัวโบราณสถาน เนื่องจาก ‘การเอียง’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับโบราณสถานที่มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงสูง
อย่างไรก็ตามจะมีการเก็บข้อมูลเป็นระยะเพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ต่อไป
ภาพถ่ายทางอากาศ 'วัดอรุณ'
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศมรดกศิลปวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการจัดเก็บข้อมูล 3D โบราณสถาน ด้วยวิธีสแกนภาพสามมิติ (TLS & Photogrammetry) ที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เพื่อเก็บข้อมูลสภาพโบราณสถานไว้ศึกษาและดำเนินการอนุรักษ์ในอนาคต
จากการสำรวจพบพื้นมณฑปทิศด้านทิศใต้ขององค์พระปรางค์เอียง ทำให้ตัวมณฑปเอียงเข้าหาพระปรางค์เล็กน้อย แต่ไม่เป็นอันตราย และไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างขององค์พระปรางค์
กรณีการเอียงดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การเอียงตั้งแต่แรกก่อสร้าง
- การซ่อมแซมบูรณะในภายหลัง
- ลักษณะโครงสร้างของดินในกรุงเทพมหานคร
มณฑปทิศใต้เอียงเข้าหาพระปรางค์วัดอรุณ
นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ที่ปรึกษาด้านการบูรณะโบราณสถานของกรมศิลปากร จึงได้เข้าหารือกับทางวัด พร้อมทั้งเสนอแนะให้ติดตามเฝ้าระวังและจัดเก็บข้อมูลทางวิศวกรรมโดยละเอียดและต่อเนื่อง
โดยมีกรอบระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อตรวจสอบแนวโน้มและวิเคราะห์ว่ามีการเคลื่อนตัวจริงหรือไม่ หากมีการเอียงเพิ่มเติมจะได้หาแนวทางอนุรักษ์อย่างเหมาะสมต่อไป
ซึ่งการดำเนินการตรวจสอบสถานะลักษณะทางกายภาพของโบราณสถานไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่กรมศิลปากรดำเนินการอยู่แล้ว โดยเฉพาะโบราณสถานที่มีความสำคัญ
ตัวอย่างเช่น ในอดีต เจดีย์ ที่ วัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดการทรุดเอียง ทางกรมศิลปากรก็ได้เข้าไปตรวจสอบจนมั่นใจว่าไม่มีการเอียงมากไปกว่าเดิมและไม่เป็นอันตราย
สิ่งที่แตกต่างคือเรื่องของเทคโนโลยีที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่สูงขึ้นโดยใช้ 3D สแกน แสดงให้เห็นภาพเปรียบเทียบในลักษณะไฟล์ดิจิทัลที่มีความแม่นยำสูงกว่าในอดีต
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า การสำรวจโบราณสถานเป็นภารกิจที่กรมศิลปากรดำเนินการเป็นประจำอยู่แล้ว มีกระบวนการตรวจสอบ ติดตาม เฝ้าระวัง โดยนําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้
ซึ่งการเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยี 3D นี้ จะช่วยเก็บรักษาข้อมูลสภาพโบราณสถานในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้การอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประชาชนที่เที่ยวชมโบราณสถานมั่นใจในควานมปลอดภัยได้
หลังจากนี้จะมีการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้กับโบราณสถานอื่น ๆ อีกด้วย
credit photo : กรมศิลปากร