Van Gogh Alive Bangkok โชว์งานศิลปะ วินเซนต์ แวน โก๊ะ ไม่เหมือนใครในรอบ 100 ปี
9 วันสุดท้าย Van Gogh Alive Bangkok นิทรรศการศิลปะดิจิทัล อิมเมอร์ซีฟ เลื่องชื่อของโลก เล่าชีวิตและประวัติศิลปินเอกของโลก วินเซนต์ แวน โก๊ะ ผ่านการจำลองผลงานศิลปะชิ้นสำคัญและทำให้เคลื่อนไหวดุจมีชีวิต ไม่เหมือนครั้งใดในรอบ 100 ปี
ผลงานภาพวาดของ Vincent Van Gogh (วินเซนต์ แวน โก๊ะ) มีชื่อเสียงมานานกว่า 100 ปี แต่ไม่มีครั้งไหนนำมาจัดแสดงให้ชมเหมือนครั้งนี้
Van Gogh Alive Bangkok (แวน โก๊ะ อะไลฟ์ แบงค็อก) เป็นนิทรรศการศิลปะรูปแบบใหม่ซึ่งนำนวัตกรรม ดิจิทัล อิมเมอร์ซีฟ (Digital Immersive) เข้ามาจัดแสดงผลงานศิลปะของ วินเซนต์ แวน โก๊ะ จิตรกรชาวดัตช์ผู้โด่งดังและทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก
‘ดิจิทัล อิมเมอร์ซีฟ’ สามารถเนรมิตบรรยากาศห้องจัดแสดงงานศิลปะราวดินแดนเทพนิยาย นอกจากทำให้ผู้เข้าชมงานศิลปะเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางภาพวาดของศิลปิน ภาพศิลปะชิ้นนั้นยังมาปรากฏอยู่บนร่างกายผู้เข้าชมงานได้อีกด้วย
นิทรรศการ Van Gogh Alive Bangkok แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 4 พื้นที่หลัก
- Van Gogh Alive Interpretive Information
- S4 Gallery Hall
- Van Gogh Old Town
- Van Gogh Shop
พื้นที่ Van Gogh Alive Interpretive Information
หลังจากซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการ พื้นที่แรกนี้ถือเป็นก้าวแรกในการทำความรู้จักกับ วินเซนต์ แวน โก๊ะ ผ่านภาพพิมพ์ผลงานงานศิลปะไฮไลต์ของเขา อาทิ ภาพ Sunflowers ภาพดอกทานตะวัน จำนวน 12 ดอกปักในแจกัน วาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบ
ภาพ Sunflowers เป็น 1 ใน ‘ภาพชุดดอกทานตะวัน’ ซึ่ง แวน โก๊ะ เริ่มต้นวาดภาพชุดนี้ในฤดูร้อนปี 1888 ขณะที่โรคทางจิตของเขาค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
แวน โก๊ะ วาดภาพชุดดอกทานตะวันเพื่อใช้ตกแต่งบ้านของเขาในเมือง อาร์ลส์ (Arles) ประเทศฝรั่งเศส เตรียมรับการมาเยือนของ ‘ปอล โกแก็ง’ เพื่อนจิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์
วินเซนต์ แวน โก๊ะ มีความสามารถในการลดองค์ประกอบที่ซับซ้อนของภาพลงให้เหลือแค่ ‘องค์ประกอบและสีพื้นฐาน’ โดยหลักๆ แล้วภาพนี้ใช้ ‘สีเหลือง’ ซึ่งเป็นสีที่เขาโปรดปราน ภาพ Sunflowers ของเขาจึงดูเรียบง่าย แต่ไม่สูญเสียความสมจริง
พื้นที่แรกนี้ ยังมีภาพที่มีชื่อเสียงอีกหลายภาพ อาทิ Self-Portrait (ภาพเหมือนตนเองของวินเซนต์), Almond Blossom (ภาพวาดดอกอัลมอนด์), Irises (ภาพวาดดอกไอริส), Self Portrait with Bandaged Ear (ภาพเหมือนตนเองกับใบหูที่ถูกพันแผล)
อีกหนึ่งจุดเด่นของพื้นที่แรกนี้ยังมีการจำลองห้องนอนที่มาจากภาพ “Bedroom in Arles” เป็นภาพที่แวนโก๊ะวาดห้องนอนของตนเองใน 'บ้านสีเหลือง' ที่เมืองอาร์ลส์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่พำนักแห่งเดียวที่เขาเรียก 'บ้าน' จุดกำเนิดของแรงบันดาลใจในการสร้างงานสำคัญหลายต่อหลายชิ้น
ทั้งนี้ ผู้จัดนิทรรศการ Van Gogh Alive Bangkok ได้ถอดแบบเครื่องเรือนและการตกแต่งห้องต่างๆ ให้เหมือนกับในภาพวาดอย่างพิถีพิถัน
พื้นที่ S4 Gallery Hall
พื้นที่ตื่นตาตื่นใจที่สุด เป็นพื้นที่จัดแสดงภาพวาดอันโด่งดังระดับโลกของแวนโก๊ะในช่วงปี 1880-1890 มากกว่า 3,000 ภาพ ด้วยเทคนิคการฉายภาพไปบนผนังห้องและกำแพงสูง 6 เมตร จำนวน 40 จุด และฉายลงเป็นพื้นห้องอีก 20 จุด ทำให้ภาพวาดนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร
หากเข้าไปยืนใกล้ผนังห้องและกำแพง ภาพวาดของแวนโก๊ะก็จะปรากฏอยู่บนร่างกายเรา เมื่อยืนอยู่บนพื้นห้องก็เหมือนเรายืนอยู่ในภาพวาดอันลือลั่นของเขา เช่น ภาพ Starry Night, ภาพ Wheatfield with Crows, ภาพ Starry Night Over the Rhône
มีเสียง ‘ดนตรี’ ที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ประกอบตลอดการฉายภาพกว่า 3,000 ภาพที่จัดแบ่งเป็นกลุ่มตามเมืองที่ วินเซนต์ แวน โก๊ะ เคยอาศัยอยู่และวาดภาพนั้น เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในแต่ละช่วงชีวิตของจิตรกรเอกอย่างชัดเจน
- เริ่มที่ ‘เนเธอร์แลนด์’
ผลงานของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ในช่วงเวลานี้ แสดงออกถึงความมืดมน ซึ่งตรงกันข้ามกับสไตล์สดใสที่เกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา
- ปารีส โทนสีสดใส
ด้วยแรงบันดาลใจจากปารีสในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ วินเซนต์ได้พัฒนามาใช้โทนสีที่สดใสมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสไตล์การวาดภาพของเขาที่ทุกคนคุ้นเคย
- อาร์ลส์ ความสุขช่วงสั้นๆ
ถัดมาเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของเขาใน ‘อาร์ลส์’ เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อาจเป็นช่วงเวลาที่มีควาสุขที่สุดในชีวิตของเขา แม้จะเป็นความสุขเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม
ผลงานในช่วงเวลานี้เริ่มมองเห็นความเจ็บป่วยทางจิตใจของวินเซนต์ที่เริ่มย่ำแย่ลง
- แซงต์-เรมี ช่วงเวลาแสนหดหู่
ช่วงชีวิตที่เมือง แซงต์-เรมี (Saint-Remy) เป็นช่วงเวลาที่ วินเซนต์ แวน โก๊ะ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล วินเซนต์ได้วาดภาพทิวทัศน์ที่ดูเงียบสงบและแสนหดหู่ แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตที่สับสนระหว่างความวิกฤตและความสงบ
- โอแวร์-ซูว์-รวซ, 70 วันสุดท้ายของชีวิต
วินเซนต์ แวน โก๊ะ ย้ายที่อยู่กว่า 38 แห่งในเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม อังกฤษ ฝรั่งเศส โดย โอแวร์-ซูว์-รวซ (Auvers-sur-Oise) เมืองเล็กๆ น่ารัก อยู่ห่างจากปารีสใช้เวลาขับรถประมาณ 50 นาที เป็นเมืองที่ แวน โก๊ะ เลือกมาใช้ชีวิตตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.-29 ก.ค.1890
สัมผัสความรู้สึกว่างเปล่าของเขาได้จากผลงานชิ้นสุดท้ายอันชวนหลอน แสดงออกถึงความวุ่นวายทางอารมณ์อย่างชัดเจนในวาระสุดท้ายของชีวิต
วินเซนต์ แวน โก๊ะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ก.ค.1890 จากไปขณะอายุ 37 ปี 2 วัน วันนั้นเขาวิ่งเข้าไปในทุ่งข้าวสาลีและใช้ปืนยิงหน้าอกตัวเอง
ไม่อยากสปอย (spoil) ว่าภาพและเสียงสุดท้ายของพื้นที่ S4 Gallery Hall จะจบลงอย่างไร
พื้นที่ Van Gogh Old Town
เดินถัดเข้าไปสู่พื้นที่ที่ 3 นำเสนอ 'เมือง' ที่วินเซนต์เคยอาศัยอยู่ ด้วยเทคนิคผสมผสานระหว่างของจริงและดิจิทัลอาร์ต เป็นการเปิดประสบการณ์ชมงานศิลปะรูปแบบใหม่ ใน 4 ธีมหลัก Fields, Starry Night, Countryside และ Garden
จุดแรกของพื้นที่นี้ เป็นการนำภาพเขียนจากพื้นที่อันงดงามในเมืองอาร์ลส์ นำเสนอในรูปแบบ สื่อผสม พบการจำลองสถานที่จากภาพวาด Wheat Field with Crows ภาพสุดท้ายในชีวิตของเขา, ภาพ Noon, rest from work, และภาพ Starry Night ที่สามารถเดินไปถ่ายรูปบนสะพานได้
ถัดมาเป็น Yellow House บ้านสีเหลืองที่เป็นเหมือนสวรรค์ของแวนโก๊ะ ภายในบ้านจำลองหลังนี้สร้างความตื่นตาให้ผู้เข้าชมด้วย Sunflowers Mirror Room หรือห้องกระจกที่เต็มไปด้วยดอกทานตะวัน ให้สายคอนเทนต์ครีเอทคลิปกันได้อย่างเต็มที่
บ้านฝั่งตรงข้ามเป็นห้องจัดแสดง Letter to Theo จดหมายถึงน้องชายคนโปรดของวินเซนต์
นอกจากนี้ยังมี ห้องสอนวาดภาพแบบแวนโก๊ะ ชั้นเรียนศิลปะที่ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ ลองลงมือวาดภาพและลงสีสไตล์แวนโก๊ะ คือได้ลองวาดภาพ Sunflowers และภาพ Starry Night ตามคำแนะนำผ่านวิดีทัศน์
รวมถึงมี AI Interactive Room ที่ช่วยรังสรรค์ภาพถ่ายใบหน้าคุณให้ออกมาเหมือนงานจิตรกรรมสไตล์แวนโก๊ะ
เลือกถ่ายรูปกับสวนที่จำลองมาจาก Dubigny’s Garden ภาพวาดสวนลับที่ดูลึกลับของวินเซนต์
ถ้ารู้สึกเหนื่อย ก็พักผ่อนในบรรยากาศอาร์ตๆ กับ Van Gogh Café by After You ที่นำแรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะของวินเซนต์ แวน โก๊ะ มาสร้างสรรค์เครื่องดื่มและขนมหวาน อาทิ Sunflowers จากดอกทานตะวันกลายมาเป็นเครื่องดื่มสีเหลืองสดใส, ภาพ Wheat Fields รังสรรค์เป็นเมนู Iced Horicks
เมนูขนมแสนอร่อยอย่าง Chocolate Trifle ครีเอทมาจากภาพ The Chocolate Eaters และเมนู Mango & Passion Fruit Trifle ที่นำภาพผลงานชิ้นดัง The Starry Night มาเป็นแรงบันดาลใจ
พื้นที่ Van Gogh Shop
โซนสุดท้ายหลังชมนิทรรศการเสร็จสิ้น เป็นพื้นที่ Van Gogh Shop โซนขายสินค้าที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟมีจำหน่ายสำหรับงาน Van Gogh Alive Bangkok เท่านั้น
สินค้าไฮไลต์คือ กระเป๋าสาน สั่งทำจากชุมชนบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการทำกระเป๋าสาน ประดับลายภาพวาด Sunflowers, ภาพ Starry Night, ภาพที่มีองค์ประกอบ Van Gogh รถตุ๊กตุ๊ก วัดไทย และแจกันดอกทานตะวัน
นอกจากนี้ยังมีเสื้อยืด ผ้าพันคอ ร่ม สมุดบันทึก ชุดถ้วยกาแฟ ให้เลือกตามความชอบ
ใครเป็นคนจัด Van Gogh Alive Bangkok
นิทรรศการ Van Gogh Alive Bangkok ดำเนินงานสร้างสรรค์และผลิตโดย Grande Experiences เจ้าของลิขสิทธิ์ Van Gogh Alive ร่วมกับ Live Impact Events และ ไอคอนสยาม
Grande Experiences นำนิทรรศการ Van Gogh Alive จัดแสดงมาแล้ว 80 เมืองทั่วโลก อาทิ ปักกิ่ง เบอร์ลิน เดนเวอร์ ลอนดอน มาดริด มอสโก โรม ซิดนีย์ แฟรงค์เฟิร์ต นาโกย่า และกัวลาลัมเปอร์ มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 8.5 ล้านคน และที่ กรุงเทพฯ ใช้ชื่อว่า Van Gogh Alive Bangkok
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษกับนิทรรศการศิลปะดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟระดับโลก Van Gogh Alive Bangkok สุดยิ่งใหญ่ได้ ณ Attraction Hall ชั้น 6 ไอคอนสยาม ยืดระยะเวลาเปิดแสดงต่อถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2566
บัตรราคา 990 บาท นักเรียน 480 บาท จำหน่ายบัตรหน้าสถานที่จัดนิทรรศการ และที่ Thai Ticket Major สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ Facebook : ICONSIAM
ภาพ : ศุกร์ภมร เฮงประภากร
