Retinal และ Retinol คืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร ควรจะเลือกใช้แบบไหนดี ?

Retinal และ Retinol คืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร ควรจะเลือกใช้แบบไหนดี ?

ประโยชน์ของ "Retinal" และ "Retinol" คืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง และควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคน

เชื่อได้ว่าเมื่ออายุร่วงเลยถึงวัย 30 หรือกำลังจะเข้าใกล้ 30 แล้ว การดูแลผิวพรรณก็จะละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะช่วยให้คลายความกังวลเรื่องผิวหน้าที่มีปัญหาเฉพาะจุด เลยจำเป็นที่จะต้องหา สกินแคร์ เข้ามาช่วยดูแล แต่ทีนี้จะเลือกสกินแคร์อย่างไรล่ะ เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง Retinal (เรตินัล) และ Retinol (เรตินอล) อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะเข้ามาแก้ปัญหาผิวที่ไปก่อนวัยอันควรได้

"เรตินัล" และ "เรตินอล" เป็นหนึ่งในสกินแคร์ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าของเราแบบเฉพาะจุด ช่วยให้ผิวหน้าของเราไม่ไปก่อนวัยอันควร เช่น รอยใต้ตา หางตา และมุมปาก ฯลฯ ตัวช่วยนี้อาจจะทำให้ความสดใสกลับมาดีขึ้น แต่ทุกการใช้ผลิตภัณฑ์ให้เห็นผลนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลา และสภาพผิวของแต่ละคน

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันดีกว่า Retinal และ Retinol ต่างกันอย่างไร ?

  • Retinal (เรตินัล) สะกดด้วยตัว A หรือ Retinaldehyde เป็นส่วนผสมที่อยู่ในกลุ่มของวิตามิน A หรือที่เรียกว่า "Retinoid" ที่ช่วยในเรื่อง Antiaging เหมือนกัน จะต่างกันก็แค่ความเข้มข้น และจะเห็นผลช้าหรือเร็ว
  • Retinol (เรตินอล) สะกดด้วยตัว o เป็นส่วนผสมที่อยู่ในกลุ่มของวิตามิน A หรือที่เรียกว่า "Retinoid" จะช่วยในการรักษาสิวอุดตัน และผลัดเซลล์ผิวเก่า

สำหรับประสิทธิภาพของ Retinal และ Retinol ที่จะได้เหมือนกันก็คือ ช่วยลดปัญหาผิวเฉพาะจุด อย่างบริเวณ ร่องแก้ม ใต้ตา ที่เป็นร่องรอยประสบการณ์ ที่ได้ผ่านแดด ลม และฝนมามากมาย แต่ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างกันคือ เรตินอล จะใช้ทั้งหมด 2 ขั้นตอน ในการเปลี่ยนแปลงผิว มีความอ่อนโยนมากกว่า แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่ามากๆ

ส่วน เรตินัล ใช้เพียง 1 ขั้นตอน ในการเปลี่ยนแปลงสภาพผิว ให้ความเข้มข้นสูงกว่า มีโอกาสทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองมากกว่า นอกจากนี้ใครที่อยากลองใช้ ต้องดูรายละเอียดของเปอร์เซ็นต์ในส่วนผสมให้ดีๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเหมาะกับสภาพผิวตนเอง มากกว่าได้ผลเสีย และต้องหาที่รักษาเสียเงินที่มากขึ้น เพื่อให้เซฟตนเอง แนะนำให้เลือกตัวที่อ่อนที่สุด และใช้วันเว้นวัน ถ้าใช้ไปสักระยะแล้วดีขึ้นค่อยเพิ่มความเข้มข้น และเพิ่มจำนวนวันในการทา

Retinal และ Retinol คืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร ควรจะเลือกใช้แบบไหนดี ?

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ Retinal และ Retinol

การใช้ Retinal และ Retinol ให้ถูกต้อง ในช่วงเริ่มต้นผู้ที่เริ่มใช้ในช่วงแรกๆ รวมถึงผู้ที่มี ผิวบอบบางแพ้ง่าย ไม่ควรทาทุกวัน ควรทาวันเว้นวัน เลือกใช้เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นที่ต่ำ และทาในปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่หากถ้าใช้แล้วยังมีความระคายเคือง ลองทา มอยเจอร์ไรเซอร์ เป็นขั้นตอนแรก และตามด้วย Retinal หรือ Retinol ปิดท้ายด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์อีกครั้งเป็นขั้นตอนสุดท้าย และขอย้ำว่าทาแค่ตอนกลางคืนดีกว่าเพราะตัวครีมจะทำให้ใบหน้าไวต่อแสง และต้องทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

รวมถึงห้ามใช้ควบคู่กับ สกินแคร์ ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Vitamin C และ Benzoyl Peroxide เนื่องจากส่วนผสมพวกนี้จะไปตีกับ Vitamin A ที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองที่มากขึ้น ซึ่งเวลาจะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยใช้อาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าผิวไม่ถูกกับการใช้งานอาจจะมีปัญหาหน้าเห่อ หรืออาจจะมีอาการลักษณะผลข้างเคียง ก็ควรหยุดใช้ก่อน แต่หากมีอาการข้างเคียงที่ชัดเจนมากๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิว นอกจากนี้ สำคัญอย่างมากกลุ่มที่ไม่ควรใช้อย่างยิ่งคือ "กลุ่มคนที่ตั้งครรภ์"

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาด เรตินอล หรือ เรตินัล สมัยนี้มีค่อนข้างหลากหลาย มีแบรนด์ดังๆ ให้เลือกเยอะ ตามที่เราเห็นผ่านโซเชียล และรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ เช่น Vichy, INGU, Innisfree, Cerave, La Roche Posay และ Kiehl’s เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ใช้ในการเลือกหาผลิตภัณต์นั้นๆ ตามความสนใจ และกำลังในการจ่าย

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอยากจะหยิบผลิตภัณฑ์มาใช้กันบ้างแล้ว หากใครสนใจตัวไหน สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป แต่อย่าลืมดูข้อควรระวัง เปอร์เซ็นต์ควรเข้มข้นต่างๆ ด้วยล่ะ เพราะราคาของสกินแคร์แต่ละตัวมีราคาที่ค่อนข้างสูง ถ้าไม่ศึกษาก่อนซื้อดีๆ อาจจะเสียเงินแบบเปล่าประโยชน์

Retinal และ Retinol คืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร ควรจะเลือกใช้แบบไหนดี ?

แหล่งอ้างอิง

Vogue Beauty, Cosmenet, Watsons, Beautrium