ผลลัพธ์ของความพยายาม “นายน์ BNK48” เมื่อเด็กคนนั้นโตมากลายเป็นกัปตันทีม NV
สัมภาษณ์พิเศษ "กัปตันทีม NV" คนใหม่ของวง "BNK48" ซึ่งไต่เต้าจากเมมเบอร์ที่บางคนมองข้ามสู่การได้รับโอกาสมากมายอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็น "นายน์ BNK48" อย่างทุกวันนี้
วันที่ความสามารถและความมุ่งมั่นตั้งใจกำลังผลิดอกออกผล ยุคเปลี่ยนผ่านของ BNK48 กำลังเป็นยุคทองของ ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์ หรือ นายน์ BNK48 จากเด็กสาวที่ต้องเดินทางไป-กลับ นครสวรรค์-กรุงเทพฯ ในช่วงแรกของการเป็นไอดอลโดยมีสารถีคือแม่ของเธอเอง หากเป็นคนอื่นอาจท้อจนยอมถอย แล้วไปหาเส้นทางอื่นเดิน แต่กับเด็กคนนี้ไม่ใช่ เธอพิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่าไม่ว่าระยะทาง 239 กิโลเมตรคูณสองในแต่ละวัน การเป็นเมมเบอร์ที่ถูกมองข้ามในหลายโอกาส ต้องมีวันที่เป็นวันของเธอ
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่สปอตไลท์ส่องไปยังเธอมากขึ้น แต่เธอกำลังขึ้นมาเป็น กัปตันทีม NV ของวง ซึ่งจะได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
ย้อนเส้นทางกว่าจะเป็น BNK48 ?
สรุปสั้นๆ เส้นทางการมาเป็น BNK48 ของหนู คืออยากเป็นศิลปิน ก็เลยมาทำตามความฝันตัวเอง โดยการที่ออดิชั่นเข้ามา คุณแม่เป็นคนสมัคร เป็นคนจัดการหมดเลย เรามีหน้าที่ทำตรงนี้เฉยๆ
วางอนาคตตัวเองไว้ว่าจะอยู่ในวงการบันเทิง?
บอกตามตรงไม่ได้วางอนาคตตัวเองบนเส้นทางบันเทิงเลย อยากไปทำอย่างอื่น แต่พอดีหลายๆ คน รวมไปถึงหมอดูก็บอกว่าเราอยู่ในวงการบันเทิงแล้วจะดีนะ จะมีคนรักและเอ็นดูเรา ถ้าเราทำตรงนี้
แล้วเราก็เชื่อหมอดู?
(หัวเราะ) ก็เชื่อค่ะ แล้วก็เชื่อว่าตัวเองทำได้เหมือนกัน
ก่อนเข้ามาเป็น BNK48 จนถึงทุกวันนี้ ความรู้สึก ความคิดอ่านแตกต่างไปอย่างไร?
ตอนนี้ความรู้สึกไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามา เพราะตอนแรกหนูเข้ามาโดยไม่รู้ว่า BNK48 คืออะไร แค่เคยได้ยินผ่านๆ แล้วเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ มันหนักสำหรับเรามากเลย เพราะเราไม่มีพื้นฐานเรื่องเต้นด้วย ร้องก็แค่พอได้ ก็อาจจะไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น
จนถึงตอนนี้หนูก็รู้สึกว่าแฮปปี้กับการที่หนูอยู่ตรงนี้มากๆ มันมีช่วงเราติดเซ็มบัตสึบ้าง ไม่ติดบ้าง ก็คิด ก็เสียใจเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็คิดว่ามันมีเหตุผลของมันที่ทำไมเราไม่ได้ถูกเลือก หนูว่ามันมีหลายปัจจัยมากๆ บางทีไม่ใช่แค่เราเก่งนะ แต่มีด้วยโอกาสและเวลาของมันที่จะเข้ามาหาเรา
ตอนนั้นคือช่วงที่ยากลำบาก?
ใช่ค่ะ คือหนูเป็นคนที่ค่อนข้างจะคาดหวัง แล้วถ้าผิดหวังจะรู้สึกเสียใจมากๆ แล้วรับไม่ได้ แต่พอเราผ่านจุดนั้นมามากๆ แล้วไม่คาดหวังมากเท่าเดิม ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของมันมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราไม่คาดหวังแล้วทำของเราไปเรื่อยๆ แบบนี้ สักวันหนึ่งสปอตไลท์ก็คงจะส่องมาหาเราเอง โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำอะไรกับมันมาก
มันคือการปลอบใจตัวเองหรือเปล่า
ใช่ค่ะ มันคือการปลอบใจตัวเอง คือจริงๆ ปลอบใจตัวเองมาตลอด หนูว่าการเสียใจมันไม่ผิด แต่หนูรู้สึกว่าไม่อยากปล่อยให้ตัวเองเสียใจนาน เพราะถ้าเสียใจนานแล้วมันอยู่กับที่ หรือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โอกาสก็ไม่ได้มาหาเราอยู่ดี หนูก็เลยเป็นคนชอบปลอบใจตัวเอง มีหลายครั้งที่ไปย้อนฟังดูตัวเองในคลิป ก็เจอว่าเราปลอบใจตัวเองเก่งเหมือนกันนะกับเรื่องบางเรื่อง
สี่ปีที่ผ่านมา นายน์โตขึ้นแน่ๆ แต่น่าจะผ่านอะไรมาในจุดที่รู้สึกแย่ที่สุด?
ดาวน์ที่สุดของหนู ถ้านอกจากเรื่องเซ็มบัตสึก็คือการที่ไม่ติดโปรเจค Indy Camp เพราะตอนนั้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเสียใจมาก ร้องไห้เลย ค่อนข้างที่จะหนัก คาดหวังว่าตัวเองน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น ก็ตั้งคำถามกับตัวเองเยอะมาก แต่ไม่ได้ถามผู้ใหญ่ว่าทำไมเราถึงไม่ได้ แต่พอเรารู้หรือพอเราหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองได้ก็เข้าใจแล้วว่าบางทีมันไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถ แต่ว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำโปรเจค Indy Camp ครั้งแรก
ตอนนั้นหนูก็เสียใจแต่ก็เสียใจไม่นาน เราแค่ทำไปเรื่อยๆ แต่นั่นก็คงเป็นครั้งที่เสียใจที่สุดแล้วแหละ เพราะหนูคิดว่าหนูมาด้วยความสามารถพิเศษอันนั้น แต่ทำไมหนูถึงไม่ได้รับโอกาส
จัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไรเพื่อหลุดจากการคำว่าเสียใจ
หนูปลอบใจตัวเองค่ะ กับแค่ไม่คิด เพราะหนูไม่ชอบความเสียใจนานๆ แล้วก็รู้สึกว่าถ้าครั้งนี้ไม่ใช่โอกาสของเรา อย่างน้อยก็มีครั้งที่สอง แต่ครั้งที่สองอย่างไรก็ต้องเป็นหนูแล้วแหละ (หัวเราะ) ถ้ายังไม่ใช่หนูอีกนะ หนูขู่กับครูแมนว่าถ้าหนูไม่ได้เป็น Indy Camp รุ่นสองนะ หนูแกรดเลยนะ (หัวเราะ) เพราะหนูรู้สึกว่า Indy Camp มันเป็นโอกาสหลายๆ อย่าง นอกจากที่เราได้เคยทำ เราจะได้เป็น นายน์ Indy Camp ที่ไม่ใช่ นายน์ BNK48 เหมือนเราได้ไปเป็นศิลปินเดี่ยวในโปรเจคนั้น โอกาสตรงนั้นจะทำให้คนเห็นเราเยอะมากๆ แล้วเราจะได้รู้จักคนในวงการดนตรีเยอะมากขึ้นด้วย
ที่เห็นนายน์โตขึ้นมาก อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราได้เห็นนายน์แบบทุกวันนี้
หนูไม่รู้ว่าจุดเปลี่ยนคืออะไร แต่ที่หนูอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรือทุกคนได้เห็นหรือได้ยินดีกับหนู มันคือความพยายามของหนู และต่อให้ใครมาพูดว่าความพยายามมันอยู่กับวงนี้ไม่ได้ แต่สำหรับหนู มันอยู่ได้นะ และวันนี้หนูก็ได้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่หนูได้ทำ ความพยายามของหนูมันไม่เคยทำร้ายหนู มันดีใจเสียด้วยซ้ำกับการที่เราทำมาเรื่อยๆ ถึงเราจะท้อบ้าง แต่เราไม่ได้หยุดก้าวเดิน
มันก็มีช่วงที่หมดไฟ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม กับช่วงระยะเวลากับสัญญาที่เหลือ อีกอย่างคือนอกเหนือที่เราจะอยู่ ยังมีรุ่นน้องอีกที่เขาเข้ามาและพร้อมที่จะเติบโต แล้วถ้าเขาตีคู่มากับเรา เราจะอยู่ได้อย่างไร มันก็มีอะไรให้คิดหลายอย่าง จนหนูรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรให้ฉายแววออกมาแล้ว ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองอยู่ไปเรื่อยๆ หนูว่าเราไม่มีวันโตแน่ๆ
ตอนนั้นที่คิดว่าฉันต้องเฉิดฉาย มันเป็นอย่างไร
(หัวเราะ) ที่หนูต้องเฉิดฉายเหรอ หนูต้องขอบคุณทีม NV มากๆ แล้วก็ขอบคุณพี่ๆ ทั้งพี่ตาหวานและพี่ปูเป้ และผู้บริหาร ที่วันนั้นมีประกาศทีม หนูได้ติมทีม NV เอาจริงๆ ตอนแรกที่เขาคัด 16 ตัวจริง หนูก็ไม่ได้ติดเหมือนกัน เป็นตัวสำรอง แต่พี่เขาบอกว่าเห็นความพยายามของนายน์ พี่อยากให้โอกาสนายน์ ตอนนั้นมันคือจุดเปลี่ยนของนายน์กับทีม NV ที่ทุกคนได้รู้จักนายน์
หนูรู้สึกดีใจมากๆ หนูรักทีม NV มากๆ ทีมนี้เป็นมากกว่าพี่น้อง เหมือนเป็นครอบครัวจริงๆ หนูแฮปปี้มากๆ กับการได้ขึ้นสเตจ หรือได้อยู่กับพี่ๆ น้องๆ ในทีม NV
ความหมายของการขึ้นสเตจก่อนกับตอนที่เป็นทีม NV เป็นอย่างไร
ก็รู้สึกต่างค่ะ เพราะตอนแรกเราไปโดยไม่ได้มีตำแหน่งของตัวเอง ไม่ใช่ตำแหน่งเรา แต่เราไปแทนตำแหน่งของรุ่นพี่ เราก็แค่แทนตำแหน่ง แต่สักวันหนึ่งเราก็อยากมีตำแหน่งเป็นของตัวเอง แล้วก็คงดีใจมากที่มีรุ่นน้องมาแทนตำแหน่งของเรา ก็ค่อนข้างที่จะต่างกัน
ความเปลี่ยนที่เด่นชัดมากคือบุคลิก ความมั่นใจ มีน้อยคนที่จะค้นพบตัวเองเจอ นายน์เจอตัวเองได้อย่างไร
หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่ๆ น้องๆ จะบอกว่าเราเป็นคนตลกธรรมชาติ เราก็อ๋อนี่คือตลกเหรอ เพราะเราไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองตลก บางคนบอกว่าแค่อยู่เฉยๆ ก็ตลก คือจริงๆ เป็นคนตลกแต่ไม่ตลอด ในความตลกของเราก็มีความจริงจังเวลาทำงาน
ตอนงาน Hina Matsuri เห็นถึงความจริงจังของนายน์?
ใช่ค่ะ เพราะตอนนั้นเราเป็นหัวหน้ากลุ่มด้วย ต้องจัดการอะไรหลายๆ อย่างในทีม ก็เลยรู้สึกว่าเครียดนิดหน่อย แต่ก็ผ่านมาได้ กับเพื่อนร่วมงานหนูเป็นคนไม่โหดค่ะ แต่หนูเป็นประเภทที่ว่าถ้าตัวเองเริ่มมีอารมณ์แล้วเราจะไม่อยู่กับคนอื่น เพราะเราจะไม่ใช้อารมณ์คุย จะคุยด้วยเหตุผลมากกว่า พอใจเราเบาลงแล้วก็จะเข้าไปคุยกับเพื่อนๆ ในทีมด้วยเหตุผลว่าทำไมเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ถ้าถามว่าอะไรที่เห็นชัดในเรื่องความเป็นผู้นำ ก็น่าจะเป็นสเตจวันที่ไม่มีรุ่นหนึ่งขึ้น เป็น New Gen NV เลย ที่พี่ตาหวานฝากให้หนูดูแล ตอนนั้นหนูได้ทำให้ทุกคนเห็นว่าในวันที่ไม่มีรุ่นหนึ่ง อย่างน้อยยังมีเรา และพี่ป็อปเปอร์ และน้องๆ รุ่นสองที่ยังคอยซัพพอร์ตทีมอยู่
ตอนนั้นที่ได้รับมอบหมายก็เครียดเลยค่ะ พูดตรงๆ ว่าหนูไม่รู้เลยว่า NV ไม่มีรุ่นหนึ่งแล้วจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นมองไม่เห็นอะไรเลย แต่พอได้ลองทำแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ เลยที่พี่ตาหวานเลือกทดลองแบบนี้ เพราะวันใดวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่กัน NV จะเป็นอย่างไรต่อ แล้วก่อนขึ้นสเตจพี่ตาหวานเข้ามาดูบ้าง แต่เขาปล่อยเลย ปล่อยให้ซ้อมกันเองเลย
การขึ้นมาเป็นกัปตันทีม NV เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นนายน์
ต้องเกริ่นก่อนว่าพี่ตาหวานเคยมาคุยกับหนูว่าพี่จะฝากให้นายน์ดูแลต่อนะ จะเป็นเรานะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเราจริงๆ หนูก็บอกแต่ว่าสภาพอย่างหนูเนี่ยนะจะไปดูแลน้อง เป็น เราก็ไม่มั่นใจ แต่ก็แอบคิดว่าถ้ารุ่นหนึ่งไม่อยู่เราก็น่าจะเป็นหนึ่งตัวเลือกที่เขาจะเลือก หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันต่อ ถามว่าหนูไม่ได้เป็นกัปตัน หนูจะเป็นรองกัปตันหนูก็โอเคนะ แต่ถ้าเป็นกัปตันก็จะดีสำหรับหนู เพราะอย่างน้อยคนจะได้เห็นว่าหนูมีความเป็นผู้นำ จะพาทีมก้าวไปข้างหน้าได้
แล้ววันที่เขาประกาศ ที่ร้องไห้เพราะว่ามันเหมือนฝันมากกว่า เพราะหนูผ่านอะไรมาเยอะมาก ทั้งเราได้รับโอกาส และไม่ได้รับโอกาส ก็อย่างที่บอกว่าความพยายามของหนูมันไม่ได้ทำร้ายหนูเลย แล้วตั้งใจทำมันมาตลอด แฟนคลับเองก็เห็น หนูมีคำถามกับตัวเองไหมว่าทำไมเป็นหนุ มีค่ะ หนูก็สงสัยว่าเราคงไม่ได้อะไรขนาดนั้น แต่ทำไมเขาถึงเลือกเรา แต่ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาเห็นอะไรในตัวเรามากกว่า ในวันที่เขาไม่อยู่แล้วเขาเห็นหนูบนเวที แสดงว่าเขามั่นใจแล้วว่าเราจะทำหน้าที่นี้ได้
ก็มีเสียใจนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้ร้องไห้นะคะ ที่มีคนบอกว่าเราไม่เหมาะสม ซึ่งหนูก็รู้สึกว่าถ้าไม่เหมาะสม พี่ตาหวานกับพี่ปูเป้คงไม่วางใจให้เรามาทำหน้าที่นี้ ก็อาจจะเพราะหนูมีคาแรกเตอร์ติดตลกด้วยหรือเปล่า หนูเคยพูดกับแฟนคลับว่าใครที่คิดว่าหนูไม่เหมาะสม คุณไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังการทำงานเราเป็นคนอย่างไร หน้างานเราก็แบบนั้น แต่ถ้าเราอยู่เบื้องหลังเราก็มีมุมจริงจังของเรา น้องๆ ก็เห็น ไม่มีใครรู้เท่ากับตัวเมมเบอร์เรารู้กันเอง
ทีม NV จะเป็นอย่างไรต่อไป ภายใต้การดูแลของเรา
หนูอยากรักษามาตรฐานของ NV ไว้เหมือนเดิม อยากให้ความเป็น NV เป็นแบบนี้ตลอดไป หนูไม่อยากเปลี่ยนอะไร แต่แค่รู้สึกว่าระบบการทำงานระหว่างที่จะมีสเตจใหม่ ก็คงจะมีการปรับจูนกัน เพราะหนูยังรู้สึกว่ายังมีเส้นกั้นอยู่นิดหนึ่ง ก็อยากให้ทุกคนได้ละลายพฤติกรรมก่อน เพราะเราก็ต้องทำงานไปด้วยกันเรื่อยๆ อยากให้ซี้กัน สนิทกันมากกว่านี้ และอยากให้ทีม NV เป็นที่รู้จักไปอีกเยอะๆ เลย ก็คงต้องฝากแฟนคลับว่าถ้าไม่มีรุ่นหนึ่งแล้วก็อยากให้แฟนคลับ NV หรือแฟนคลับของพี่ๆ เอ็นดูพวกเราไปเรื่อยๆ คอยซัพพอร์ตไปเรื่อยๆ ค่ะ
Indy Camp ก็ติดแล้ว กัปตันก็ได้เป็นแล้ว ยังมีอะไรที่ยังอยากทำแต่ไม่ได้ทำ
มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้คือการติดเซ็มบัตสึซิงเกิลหลักค่ะ ก็ยังรออยู่เรื่อยๆ ถามว่าการที่เราได้เป็นกัปตันทีมแล้ว เราจะได้ติดไหม มันก็มีโอกาสทั้งติดและไม่ติด แต่ในใจหนูต่อให้มีคำว่ากัปตันมาอยู่กับตัว ก็ไม่ได้การันตีอะไรได้ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราอาจจะไม่ถูกเลือกก็ได้
เป้าหมายต่อไป?
ตามแผนของหนูคืออยากอยู่กับวงไปเรื่อยๆ หนูรักน้องๆ ในวง รักพี่ๆ ในวงมากๆ ถ้าการที่อยู่ตรงนี้มันแฮปปี้ ระหว่างทางคงเจออุปสรรคอะไร แต่ถ้าอยู่แล้วแฮปปี้ก็อาจจะอยู่ยาวๆ ไปก็ได้ และอย่าง Indy Camp ตอนหนูคุยกับคุณครูและผู้ใหญ่ คำว่า Indy Camp ไม่ได้หมายความว่าคุณทิ้งความเป็น BNK48 ไป แต่เราแค่จัดการไปว่าพออยู่ Indy Camp ก็ทำหน้าที่นั้น พออยู่ BNK48 ก็ทำหน้าที่นั้น หนูก็อยากทำหน้าที่ควบคู่ไปทั้งสองอย่าง คือเป็นทั้งกัปตันทีม NV และเป็นศิลปินเดี่ยวไปในเวลาเดียวกัน หนูว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของหนูจริงๆ เพราะไม่ใช่แค่หนูได้รับโอกาสในการทำ Indy Camp แต่คือมีตำแหน่งกัปตันมาด้วยที่ต้องดูแลรับผิดชอบทั้งทีม NV ภาระหน้าที่ตรงนี้อาจจะเพิ่มมากขึ้น แล้วเราจะต้องจัดการตัวเองให้ได้มากขึ้น
กับอีกอย่างหนึ่ง ถ้าตัวเองยังเรียนไม่จบก็อาจจะสาหัสหน่อย แต่ปีนี้เรียนจบแล้ว ปีหน้าก็น่าจะได้รับปริญญาแล้วค่ะ
ตอนนี้มีผลงานอะไรให้ติดตาม
หลักๆ เลยคือ Indy Camp ค่ะ ที่จะให้ทุกคนได้เห็นกระบวนการ โดยจะเริ่มปีหน้าเลย ช่วงนี้ก็มีสเตจให้แฟนๆ ได้ชมกัน
ปูเป้ BNK48 จบการศึกษา นายน์เป็นอย่างไรบ้าง
โห คำถามนี้เหรอ จริงๆ เรารู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น แต่วันนั้นที่ไปดูเปิดตัวซิงเกิล Jiwaru Days ยังไงก็ไม่รู้ ร้องไห้ คือเรารู้สึกว่าเรามีเขาเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ แล้ววันหนึ่งไม่มีเขาอยู่ เราจะอยู่ด้วยแรงบันดาลใจอะไร แล้วอีกอย่างหนูว่าไม่ใช่แค่พี่เป้ แต่เป็นรุ่นหนึ่งทุกคน เขาอาจจะเติบโตของเขา แต่ว่าเราก็มาพร้อมๆ กัน มันเลยรู้สึกว่าเราเติบโตไปด้วยกัน พอไม่มีรุ่นหนึ่งรู้สึกว่าแปลกๆ ตอนนี้เราต้องเป็นรุ่นพี่แล้วนะ รุ่นหนึ่งจะเหลือแค่พี่เฌอ พี่มิโอริ และน้องซัทจัง แต่วันที่ประกาศก็ใจหาย แล้วประกาศปุบปับมากๆ เอาอย่างนี้เลยเหรอ แต่หนูว่าอะไรที่เขาทำแล้วเขามีความสุข ก็ให้เขาทำดีกว่า
ภาพจำของนายน์ตั้งแต่เข้าวงคือเรื่องครอบครัวที่ซัพพอร์ตอย่างดี เช่นการรับส่งนครสวรรค์-กรุงเทพเกือบทุกวัน เป็นความอบอุ่นใจเมื่อได้รู้ ทุกวันนี้เป็นอย่างไร
ตอนนี้แม่ก็ยังคอยซัพพอร์ตอยู่เรื่อยๆ ค่ะ แต่การใช้ชีวิตก็อาจจะดำเนินต่อไปด้วยตัวเอง ถ้าวันหนึ่งพ่อแม่อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราก็ต้องใช้ชีวิตให้ได้ พอเรามาอยู่ในเมืองเรารู้สึกว่าเราโตขึ้นมากๆ เรานั่งรถเมล์เป็นนะ เรานั่งรถสองแถวเป็น หนูแฮปปี้นะกับการที่ได้เรียนรู้อะไรเอง ถึงแม้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้สวยงามอะไรขนาดนั้น เราอาจจะไม่ได้เจอกับตัวเอง แต่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องเจออยู่ดี
ถ้าย้อนเวลากลับไปพูดกับนายน์ BNK48 เมื่อวันที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตไอดอล อยากพูดอะไรกับเขา
ก็คงต้องบอกว่า เอ็งทำได้แล้วนะ ที่บอกว่าทำได้ก็คือช่วงวันแรกๆ ที่ประกาศตำแหน่งเสร็จ หนูยังรู้สึกว่ามันเป็นจริงเหรอวะ มันเป็นฝันหรือเปล่าเนี่ย ลึกๆ ในใจของเราเป็นความภูมิใจว่าเราก้าวกระโดดมากๆ เลยนะ จากคนที่ไม่ติดเซ็ม กว่าจะมาถึงตรงนี้ หนูมาไกลมากๆ เลยกับการได้เป็นกัปตันทีม NV นั่นคือสิ่งที่มันทัชใจสำหรับหนูมากๆ
พูดกับตัวเองแล้ว มีอะไรบอกกับคนที่อาจจะสงสัยกับคำว่าความพยายาม หรือกำลังท้อแท้
หนูจะไม่บอกว่าทุกคนพยายามแล้วมันจะได้ค่ะ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่พยายามแล้วจะทำได้ หนูว่ามันอยู่ที่ใจคนจริงๆ ถ้าใจสู้ อย่างไรก็ทำได้ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าพยายามไปแล้วครั้งหนึ่งมันไม่ได้แล้วคุณตัดพ้อไปเลย อย่างไรก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว หนูแค่อยากจะบอกว่า ความพยายามมันใช้ไม่ได้กับทุกคนจริงๆ แต่อยากให้ทำอะไรก็ตามแล้วรู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ถ้าไม่มีความสุขก็แค่หาสิ่งอื่นมาทดแทน เพราะการที่หนูอยู่ตรงนี้หนูมีความสุข หนูก็ทำไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่มีความสุขก็หาอะไรทำที่รู้สึกว่ามันเยียวยาหัวใจตัวเอง