“นาย ซัทจัง มายยู” 3 สาว "INDY CAMP" จุดบรรจบของคำว่า "ไอดอล" กับศิลปินคุณภาพ
เปิดใจ 3 สาวจาก “INDY CAMP” โปรเจคพิเศษพลิกโฉม "ไอดอล" สาวคาวาอี้ให้เป็นศิลปินตัวจริงที่จะมาสร้างสรรค์เพลงสะท้อนความเป็นตัวเองแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
ถึงจะมาเป็นรุ่น 2 ของโปรเจค แต่ทั้ง นาย - ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์, มายยู - กวิสรา สิงห์ปลอด และ ซัทจัง – สวิชญา ขจรรุ่งศิลป์ เมมเบอร์ของวง BNK48 ที่ตอนนี้ต้องเรียกพวกเธอต่อท้ายด้วยนามสกุล INDY CAMP อีกหนึ่งนามสกุล ต่างฝ่าด่านพิสูจน์ความสามารถทั้งร้องและเล่นดนตรี จนได้เป็นหนึ่งในโปรเจค INDY CAMP และกำลังปั้นผลงานเพลงที่กลั่นออกมาจากความคิด ความตั้งใจ และความฝันที่ต้องบอกว่าอีกไม่นานทุกคนจะได้ฟังเพลงคุณภาพจากพวกเธอแน่นอน
หากย้อนไปเมื่อไม่นานก่อนบทสนทนาระหว่างกรุงเทพธุรกิจกับทั้งสามสาวจะเกิดขึ้น คอนเสิร์ต Open Camp ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตแรกของสมาชิก INDY CAMP รุ่น 2 ได้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมจนหลายคนมองว่านี่คือการเรียกศรัทธาให้กลับมาไม่ใช่แค่กับ BNK48 แต่กับพวกเธอในฐานะศิลปินตัวจริง
การเป็น INDY CAMP เหมือนการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ รู้สึกอย่างไรกันบ้าง
นาย : หนูตื่นเต้นมาก ด้วยความที่พวกเรายังไม่มีเพลงเป็นของตัวเอง แล้วอย่างที่เห็นว่ารุ่นหนึ่งก่อนจะมีคอนเสิร์ตเขามีเพลงของตัวเองแล้ว แต่พวกหนู (รุ่น 2) ยังไม่มีเพลงของตัวเองก็ต้อง cover song ไป และแอบกลัวนิดหนึ่งว่าคนค่อนข้างคาดหวังว่าในคอนเสิร์ตนี้จะมีเพลงของพวกเราปีสอง เราก็แอบกดดันนิดหนึ่ง แต่พอได้ทำจริงๆ ได้มายืนเห็นตัวเอง shine บนเวที เราดูตั้งแต่เพ่อนซ้อมในห้องซ้อมจนมาถึงขึ้นคอนเสิร์ต เราเห็นทุกคนมีความสุขหมดเลย ถึงแม้ว่าภายใต้ความสุขจะมีความกดดันอยู่
อย่างน้องซัทจังก็มีความกดดันมากๆ แต่พอเราเห็นน้องอยู่บนสเตจน้องก็เอาความกดดันนั้นออกไปแล้วแสดงได้ดีมากๆ หรืออย่างพี่มายยู หนูก็เห็นเขาซ้อมกีตาร์เพลง Believer เขาตั้งใจมากๆ เพราะอาจารย์ทาง ABAC บอกว่าถ้าเล่นไม่ได้ก็ไม่ต้องขึ้น คือเขาอยากให้เราทำได้ดี ถ้าคุณจะทำเล่นคุณก็อย่าทำ มีห้องซ้อมแยก พี่มายยูก็อยู่ในนั้นนานมาก ขยันมาก
รู้สึกว่าทุกคนเก่งมาก และมีความเป็นตัวเองมาก เห็นโชว์ของแต่ละคนก็ประทับใจ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของการขึ้นคอนเสิร์ตในฐานะศิลปินเดี่ยวของ INDY CAMP ก็ตาม ซึ่งเราก็เร็วกันมากๆ สำหรับปีสอง เรามีคอนเสิร์ตเร็วมาก ทุกกระบวนการเราต้องคิดและทำกันเอง ใครอยากให้โชว์เป็นแบบไหน แสง ไฟ อยากได้เพิ่มก็คิดกันเองเลย
นาย - ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์
มายยูไม่เคยเล่นกีตาร์เพลง Believer มาก่อน?
มายยู : ใช่ค่ะ เป็นไลน์โซโล่ที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อน ในคอนเสิร์ต Open Camp ล่าสุด หนูเลือกเพลง Believer ของรุ่นพี่ BNK48 ค่ะ (หัวเราะ) ก็เลือกเพราะชอบความหมาย เป็นเพลงที่อยากเอามาถ่ายทอดในรูปแบบอื่นๆ ว่าเราจะลงลึกหรือนำเสนอเนื้อจริงๆ ออกมานอกจากความน่ารักหรือให้กำลังใจในสไตล์ไอดอลได้มากน้อยแค่ไหน และหนูเลือกใช้กีตาร์ คือปกติหนูเล่นกีตาร์อะคูสติก และไม่เคยใช้กีตาร์ไฟฟ้าขึ้นงานใหญ่เลย นี่คืองานแรกที่ได้มีโอกาสโซโล่ ก็เลยจำเป็นต้องทุ่มเทกับมันเยอะมาก เพราะมีเวลาซ้อมกีตาร์แค่ 3 วัน อาจารย์ให้เดดไลน์มาถ้าทำไมได้ผมว่าคุณอย่าเอากีตาร์ขึ้นเลย มันเลยเป็นแรงผลักดัน
ซัทจัง : หนูเองก็โดนเหมือนกัน เพราะหนูก็เล่นกีตาร์ อาจารย์มีถามว่าถ้าไม่ได้เล่นกีตาร์บนเวทีจะรู้สึกอะไรไหม หนูก็ตอบว่าก็คงนอยด์ค่ะ เพราะเราก็ตั้งใจอยากให้โชว์เป็นแบบที่เราคิดไว้ ถ้าสมมติไม่ได้เป็นแบบนั้นก็คงนอยด์มากๆ แน่นอน
ซัทจัง – สวิชญา ขจรรุ่งศิลป์
มายยู : เห็นด้วยกับซัทจัง ก็อย่างที่พี่นายบอก เรามีภาพของโชว์ของแต่ละคนที่โปรดิวซ์กันขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นแสง เสียง เอาจริงๆ แพทเทิร์นของโชว์ทั้งหมด เรามีส่วนร่วมในการออกแบบทั้งหมด เราจึงมีภาพของเราว่าอยากให้ออกมาเป็นแบบไหน แต่พออาจารย์เราสะกิดว่าถ้าไม่เล่นกีตาร์จะดีกว่าเปล่า เราก็รู้สึกว่าเข้าใจได้ในพาร์ทของอาจารย์ เพราะเรามีเวลาซ้อมน้อย ถ้าทำไม่ดีมันจะดูไม่ดีหรือเปล่า แต่พวกเราก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่าถ้าเราให้เวลากับมันมากพอ ถ้าเราเต็มที่ก็จะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ก็เป็นความภูมิใจ
มายยู - กวิสรา สิงห์ปลอด
พอซัทจังถูกกดดันด้วยคำพูดของอาจารย์ เราจัดการอย่างไร
ซัทจัง : หนูเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านดนตรีมาพอสมควร แต่กีตาร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีที่หนูไม่เคยเล่น แต่ก็อยากให้โชว์ครั้งนี้ทุกคนเซอร์ไพรส์ด้วยการที่หนูเล่นกีตาร์ไฟฟ้า เลยเล่นให้อาจารย์ดู อาจารย์บอกว่ามันก็พอได้แหละ แต่ว่าเธอต้องฝึกมากกว่านี้นะ และถ้าเธอไม่เล่น เธอจะรู้สึกอะไรไหม ตอนนั้นคือใจหายมาก ผ่านหรือไม่ผ่านนะ ก็บอกอาจารย์ไปตรงๆ ว่าหนูก็คงนอยด์ค่ะ สุดท้ายอาจารย์บอกว่าหนูเล่นได้ แต่ต้องมีความมั่นใจมากกว่านี้ ก็ซ้อมไปเรื่อยๆ จนอาจารย์บอกว่าโอเค นี่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่หนูภูมิใจมาก
นายมีอะไรกดดันไหม
นาย : น่าจะเป็นเรื่องเสียงค่ะ ทุกคนร้องเพลงได้หมด แต่ด้วยความที่สไตล์เพลงของหนูค่อนข้างร็อค ด้วยดนตรีสดที่ไม่ผสมดาต้าอะไรเลย ดนตรีมันส่งใหญ่ ทุกอย่างมันดูหนัก แล้วเสียงเราไม่พุ่งออกไป ตรงนั้นเป็นจุดที่ถ้าเราไปเจอคนเยอะจริงๆ อะไรที่ทำให้เราร้องแล้วส่งไปที่คนข้างหลัง นั่นคือความกดดันของหนู ถ้าเราร้องแล้วไปไม่ถึงคนข้างหลัง เขาก็เหมือนไม่ได้มาฟังเราร้อง
เลยอยู่ที่เราจะทำให้เสียงพุ่งไปอย่างไร อาจารย์ก็สอนว่าต้องทำอย่างไร ฝึกอย่างไร สอนเทคนิคเพิ่มเติม แล้วพอหลังจากแสดง ได้อ่านฟีดแบ็ก มีคนบอกว่านั่งแถวดอย (แถวบนสุด) แต่เราได้ยินน้องนายส่งพลังไปถึง น้องเก่งมากๆ หนูก็รู้สึกดีใจมากๆ
หลังจบคอนเสิร์ต ทุกคนมีความสุข?
มายยู : มันเป็นโมเมนต์ที่ดีค่ะ หนูมีโอกาสคุยกันใน 12 คนของ INDY CAMP เพื่อนๆ ก็บอกว่า จบงานนี้เติมไฟให้พวกเรามาก มันมีแพสชันที่อยากทำต่อ ก่อนหน้านี้พวกเราแอบหลงทางนิดหนึ่ง ยิ่งปีสองไม่มีเพลงของตัวเองเลย พอมันผ่านตรงนั้นมา หนูรู้สึกว่าภาพที่เห็น เสียงเชียร์ เสียงปรบมือ การแสดงที่ออกมามันพอใจพวกเราเองด้วย และฟีดแบ็กที่ดีจากผู้ชมทำให้พวกเรามีไฟที่อยากทำเพลงตัวเอง เพื่อที่จะพาพวกเราไปอยู่จุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง
INDY CAMP เติมไฟเติมฝันของเราอย่างไร
นาย : ต้องบอกตรงๆ ว่าหนูเข้ามาตรงนี้เพราะ... ย้อนกลับไปถึงวงรุ่นพี่ BNK48 ด้วยความที่หนูเข้ามาด้วยความฝันที่อยากเป็นศิลปิน BNK48 ก็เป็นศิลปินค่ะ แต่เป็นศิลปินกลุ่ม เป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่ค่อนข้างใหญ่ หนูรู้สึกโชคดีและต้องขอบคุณทาง IR ที่มีโปรเจค INDY CAMP ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีพวกเรา 12 คน ที่ได้ขึ้นเวที ณ วันนั้น
วันที่มาออดิชัน INDY CAMP หนูรู้สึกว่ามีโอกาส 50/50 ถึงเราจะมาด้วยแพสชันที่อยากเป็นศิลปิน อยากมาทำเพลง แต่ก็ยังกลัวว่าจะไม่ได้ ตอนนั้นไม่มั่นใจ แต่พอได้ทำจริงๆ มันมาเติมฝันมากๆ ทำให้เราอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง อยากไปร้องเพลงให้ทุกคนฟัง แล้วทุกคนร้องเพลงตามเราได้ นี่เรากำลังทำตามฝันสำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้ว
ซัทจัง : คงต้องย้อนกลับไปเหมือนกัน แรกๆ ที่หนูเข้ามาก็เป็นหนูน้อยน่ารักคนหนึ่งใน BNK48 หลังจากนั้นพอหนูเริ่มเรียนดนตรี ได้เริ่มมีสกิลดนตรีมากขึ้น ครูเอ๊ะอยากให้ลองเล่นกีตาร์ให้เขาดู ก็เลยมีโอกาสเข้าไปอยู่ในเซ็มบัตสึของเพลง Only Today (Band Ver.) แล้วเขาก็มาบอกว่าจะมีโปรเจค INDY CAMP 2 ซัทจังสนใจไหม ตอนแรกหนูไม่มั่นใจตัวเองมากๆ คือหนูอยากเป็นศิลปินแต่ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะสกิลการร้อง หรืออะไรก็ตาม
แต่สุดท้ายพอได้ลอง ได้มาขึ้นคอนเสิร์ตกับพี่ๆ ก็แฮปปี้มาก ทุกคนให้กำลังใจหนูดีมาก ให้กำลังใจหนูตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ หนูจบเพลงปุ๊บ เอ็งทำดีแล้ว เอ็งทำดีแล้วทุกครั้ง
และอย่างที่พี่นายบอกว่าอยากให้คนได้รู้จักเรามากกว่าที่เห็นในฐานะ BNK48 โดยเฉพาะตัวหนูอยู่มา 6 ปี จะ 7 ปีแล้ว คนก็ยังมองว่าเป็นน้องเล็ก เราแค่อยากให้คนดูเราอีกมุมหนึ่ง นอกจากเราเป็นน้องเล็กรุ่นหนึ่งแล้วเรายังเป็นศิลปินอีกด้วยนะ
ตอนเห็น INDY CAMP รุ่น 1 แล้วเราได้มาเป็น INDY CAMP รุ่น 2 วาดภาพตัวเองกันไว้อย่างไร
มายยู : เพื่อนๆ พี่ๆ ปีหนึ่ง INDY CAMP เขาได้ขึ้นคอนเสิร์ตมาแล้ว 2 ครั้ง ไม่รวม Open Camp ครั้งล่าสุด หนูได้ตามดูตลอดเพราะหนูเป็นติ่ง INDY CAMP ก็รู้สึกว่ามี Vibe ที่คนละแบบกับการเป็นไอดอล โอเคเราขึ้นเวทีบ่อยก็จริง แต่ในฐานะไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป แต่การที่เราจะขึ้นไปเป็น Front man บนเวที ร้องเพลงตัวเอง เพอร์ฟอร์มเพลงที่ตัวเองแต่ง แล้วมีแฟนคลับที่ร้องเพลงเราได้ มันเติมเต็มมากๆ เพราะมันคือสิ่งที่หนูฝันมาตลอด เหมือนอย่างที่หนูพูดในคอนเสิร์ตว่า หนูไม่เคยเห็นอาชีพอื่นของตัวเองเลยนอกจากการเป็นศิลปิน ไม่ว่าเราเรียนอะไรมาก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่หนูอยากเป็นที่สุดคือการเป็นศิลปินที่ดี และมีผลงานที่ดีด้วย มันเป็นความฝันที่สักวันหนึ่งเราจะไปยืนเพอร์ฟอร์มเพลงแต่งของตัวเองให้ทุกคนฟัง
พอเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ไปยืนตรงนั้นก็คาดหวังว่า INDY CAMP จะได้มีสเกลคอนเสิร์ตที่ใหญ่ขึ้นอีกจากความสามารถของพวกเราเอง
ซัทจัง : หนูอยากให้ทุกคนรู้จักเพลงเรา อย่างที่หนูพูดในคอนเสิร์ตเหมือนกันว่าเอนจอยไปกับโชว์เราแสดงไป แค่นี้หนูก็แฮปปี้มากๆ ร้องตามได้ โยกไปตามเพลง แค่นี้คือสิ่งที่หนูวาดไว้ และมันก็เกิดขึ้นแล้ว
นาย : ตอนนี้ภาพก็อาจจะยังไม่ชัดเท่าไรค่ะถึงแม้จะอยู่ตรงนี้แล้ว ด้วยความที่มีอะไรหลายอย่างให้โฟกัส แต่ถ้าให้วาดภาพตัวเองก็คงอยากเป็นศิลปินที่มีอัลบั้มหรือเพลงของตัวเอง อยากไปเวิลด์ทัวร์ (หัวเราะ) ถ้ามันคอมพลีทคือคนที่ฟังเราร้องเพลงแล้วร้องเพลงตามเราได้หนูว่าน่าจะมีความสุข ต้องทำอย่างไรนะให้เราขึ้นไปร้องเพลงแล้วเขาไม่งงว่าเราร้องเพลงอะไรอยู่ อยากรู้สึกแบบนั้น และอย่างที่น้องซัทจังบอก อยากให้มีคนรู้จักเรามากกว่านี้ ตอนนี้ทุกคนรู้จัก BNK48 แต่เขาไม่รู้ว่าใน BNK48 มีใครบ้าง หนูก็เลยคิดว่าถ้าเราทำให้มีคนรู้จักได้มากกว่านี้ก็น่าจะเป็นความสำเร็จสำเร็จหนู
การเป็น INDY CAMP แตกต่างจากการเป็นไอดอลอย่างไรบ้าง
นาย : หนูคิดว่าเป็นการออกนอกกรอบ ไม่ได้หมายความว่า BNK48 จำกัดกรอบที่เราเอยู่ แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ถ้าเราได้แสดงความสามารถเองได้ก็จะดี ถ้าเราอยู่กับวงก็จะน้อยคนที่จะมาเห็นเรา อย่างเซ็มบัตสึมี 16 คน ถ้าเราอยู่แถวหลังก็ไม่มีใครเห็นเราเลยนะ แต่การที่เราอยู่ INDY CAMP มี 12 คนก็จริง แต่ความเป็นเอกลักษณ์หรืออะไรก็ตามมันจะ shine ออกมาว่าเนี่ยมายยู INDY CAMP เนี่ยนาย INDY CAMP เนี่ยซัทจัง INDY CAMP ซึ่งตรงนั้นมันทำให้เราได้แสดงความสามารถตัวเองอย่างที่เราอยากทำ
มายยู : การที่เราอยู่ใน BNK48 ก็เป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราอยู่ภายใต้กรอบ เราเพอร์ฟอร์ม ร้อง เต้น ในเพลงของรุ่นพี่ 48 เพลงที่มีความเจป็อป ความเป็นญี่ปุ่น แต่ในขณะที่เราออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว เราได้แสดงความเป็นตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ คือเขาจะเห็นเรา 100 เปอร์เซ็นต์ผ่านโชว์ที่เราคิด ผ่านเพอร์ฟอร์ม ผ่านเพลงที่เราเขียน มันคือความแตกต่างที่เราบาลานซ์ได้ ไม่ใช่อยู่ BNK48 แล้วไม่เป็นตัวเอง แต่เป็นการเป็นตัวเองที่มีขอบเขต
ซัทจัง : อย่างหนูทุกวันนี้อยู่ BNK48 คนก็ยังมองว่าเป็นน้องเล็ก เป็นภาพจำของทุกคนไปแล้วว่าซัทจังเป็นน้องเล็ก ทั้งที่ก็ไม่ใช่น้องเล็กแล้ว อันนี้คือกรอบของหนูใน BNK48 แต่พอมาเป็น INDY CAMP หนูเหมือนได้ออกมาจากตรงนั้น คนจะได้เห็นเราที่เป็นเราจริงๆ เราไม่ใช่เด็ก 13 ที่จะมามัดทวินเทลแล้ว พอเราโตขึ้นเราก็อยากดูโตขึ้นประมาณหนึ่ง พออยู่ BNK48 มันก้าวข้ามได้ยากมาก ด้วยชุดของเรา ด้วยอะไรหลายอย่างมันจะส่งไปในทางน่ารัก เราอยากไปในแนวอื่นบ้าง เลยคิดว่าจะเป็นตัวเองได้มากกว่าเดิม
มองว่าโอกาสของตัวเองใน BNK48 เป็นอย่างไรกันบ้าง
ซัทจัง : สำหรับหนูมีมาเรื่อยๆ ในแบบที่มันเหมาะสมกับเราค่ะ ซึ่งแต่ละโอกาสที่ได้รับมามันเป็นประสบการณ์กับหนูมากๆ ไม่ว่าจะเรื่องติดเซ็ม เป็นเซ็นเตอร์ หรือแม้กระทั่งได้อยู่ใน Only Today (Band Ver.) ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต่อยอดได้ หรืออย่างตอนที่คอนเสิร์ต D-Day ที่พวกเราต้องทำกันเอง นั่นก็เป็นอีกงานที่เครียดมาก ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี หรือการไปทำงานที่ญี่ปุ่น รู้สึกว่าได้รับอะไรมาเยอะมากๆ ในอนาคตน่าจะได้ใช้ประสบการณ์จากโอกาสพวกนี้แน่นอน
มายยู : หนูอยู่มา 5 ปีกว่าๆ แล้ว เคยติดเซ็มบัตสึเพลงหลักแค่เพลงเดียว หลังจากนั้นก็เป็นเพลงรอง การที่หนูรู้สึกว่าพิสูจน์ตัวเองได้ในฐานะ BNK48 คือการเป็นเมมเบอร์สายร้อง (Vocal) โดยเป็นเซ็นเตอร์เพลง Mata Anata no Koto wo Kangaeteta ที่ต้องออดิชันสด มีกรรมการคัดเลือก นั่นเป็นจุดแรกที่เราพิสูจน์ตัวเองได้ในฐานะสายร้อง แล้วหลังจากนั้นก็มาเจอเพลง Only Today (Acapella Ver.) ก็เป็นหนึ่งในเมมเบอร์ของเพลงนั้นซึ่งมันยากมาก ก็ได้พิสูจน์ตัวเองเรื่องการร้องเพลงมาได้ตลอด แต่ทำไมเรายังอยู่แค่ตรงนี้ โอเค คนก็รู้ว่าเราร้องเพลงดี แต่แล้วยังไงต่อ
หนูรู้สึกว่าการเป็นเมมเบอร์ที่ร้องเพลงดีในวงไอดอลมันก็ทำให้คนจำเราได้แค่นั้น หนูเลยอยากทำอะไรสักอย่างที่มันโดดเด่นออกมา หรือโชว์ความเป็นตัวเราได้มากขึ้น อยากได้รับโอกาสจากการที่เราร้องเพลงเก่ง เราทำอะไรได้อีกเยอะมาก แต่เราแค่ยังไม่เคยได้ทำ หนูเคยคาดหวังว่าจะต้องมีวันของเราอีกสักครั้งสิในฐานะ BNK48 จนมาเจอ INDY CAMP ที่เราจะพิสูจน์ตัวเอง
นาย : ต้องบอกตรงๆ ว่าหนูไม่เคยติดเซ็มบัตสึเพลงหลักเลย ไม่เคยเลย ทุกครั้งที่มีการประกาศจะบอกตัวเองทุกครั้งว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ต้องมีสักวัน แต่มันไม่มีสักวันสักที แต่ก็ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นแล้ว ก็ใช้ชีวิตไป ทำหน้าที่ของเราไป จนวันหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีม NV ชีวิตก็พลิกเลย เอาจริงๆ เราไม่เคยคิดว่าจากคนที่ต้องไปกลับนครสวรรค์ทุกวัน จนทุกวันนี้เรามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม NV และก้าวสู่การเป็นกัปตันทีม NV หนูว่ามันคืออะไรที่เหนือความคาดหมายของหนูมากๆ หนูรู้สึกว่าดีใจมาก ถึงแม้จะมีคำพูดของคนที่ถาโถมว่าน้องนายไม่เหมาะ น้องนายจะคุมคนได้เหรอ หนูว่าคนข้างนอกเขาไม่รู้เท่ากับพี่ตาหวานและพี่ปูเป้ว่าเขาเลือกเรามาเพราะอะไร
แต่สิ่งหนึ่งที่หนูรู้สึกว่าไม่ค่อยได้รับโอกาสเลยก็คือว่าเรามีความสามารถ เราเข้ามาเราก็เล่นกีตาร์เป็นนะ เราก็ร้องเพลงเป็น แต่หลายครั้งทำไมงานนี้เราไม่ได้ไป มันมีคำถามอยู่ในใจ แต่เราก็จะหาคำปลอบใจตัวเองทุกครั้งว่าคงมีเหตุผลที่เราไม่ได้ไป เราก็พัฒนาตัวเองต่อไปให้เขาเห็นว่าสมควรที่จะเลือกเราไป จนมามี INDY CAMP คือการเปิดโอกาสหรือช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เราไปเจอคนข้างนอกได้มากยิ่งขึ้น มันทำให้หนู่รู้สึกว่าสิ่งที่เราฝันว่าอยากเป็นศิลปิน มันใกล้เข้ามาแล้ว ถึงแม้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่มันเป็นบันไดอีกขั้นที่เราจะได้ตามความฝันการได้ร้องเพลง ได้แสดงให้คนได้ดู เพราะเรารักเสียงเพลง เราแฮปปี้กับการเล่นกับวงดนตรีสด ยิ่งเรามีประสบการณ์จากตรงนี้มากเท่าไร จะยิ่งทำให้เราได้เห็นเส้นทางการเป็นศิลปินอีกบทบาทหนึ่งมากขึ้น
คิดอย่างไรกับการที่มีบางคนมองว่าไอดอลไม่ใช่ศิลปินคุณภาพ
มายยู : สำหรับหนู การเพอร์ฟอร์มในฐานะไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปมีเสน่ห์ของมัน ก็เข้าใจได้ว่าไอดอลเจป็อปจะไม่ได้มีความที่จะต้องเพอร์ฟอร์มานซ์แน่น 100 เปอร์เซ็นต์ ร้องแน่น เต้นแน่น มันคือการมอบความสุข มันคือเสน่ห์ในการเพอร์ฟอร์ม มันคือกำลังใจ มันคือพลังงานบวก เวลาหนูดูรุ่นพี่ AKB48 เพอร์ฟอร์มเวลาเขามาไทย หนูก็ร้องไห้นะ หนูรู้สึกว่าเขาดูเปล่งประกาย สิ่งที่หนูอยากเป็นได้ในฐานะศิลปินคือความเปล่งประกายแบบไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป เขาเรียกว่าคาริสมา ที่เวลาคนผ่านไปผ่านมามอง เฮ้ยคนนี้มีแสงสว่างเรืองรอง ก็เลยรู้สึกว่าเสน่ห์ของไอดอลคือความเปล่งประกาย พลังงานบวก และความสนุกสนาน
ส่วนคำว่าคุณภาพในแต่ละมุมมองของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่การเป็นไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง BNK48 และ CGM48 ก็คือคุณภาพเหมือนกัน แต่เป็นคุณภาพในแง่ไหน อันนี้แล้วแต่คน ถ้ามองแบบศิลปินเดี่ยว คุณภาพสำหรับหนูคือความแน่น เป็นคุณภาพอีกแบบหนึ่ง คุณภาพของผลงานที่การันตีได้ว่าออกไปแบบนี้ดังได้แน่ๆ คุณภาพของศิลปินคือเราเพอร์ฟอร์มอย่างไรให้คนเอนจอยไปกับเรา เห็นไหมว่ามีข้อคาบเกี่ยวกัน ไอดอลก็ต้องทำให้คนเอนจอยไปกับเรา ศิลปินเดี่ยวก็เช่นกัน
พอได้มาชิมลางวงการ T-Pop แบบเต็มๆ หลังจากภาพลักษณ์คือไอดอลแบบญี่ปุ่น เป็นอย่างไรกันบ้าง
นาย : มีความสุขค่ะ มันออกมาจากสีหน้าและแววตา ยิ่งตอนที่เราไปยืนอยู่บนเวทีเรารู้สึกแฮปปี้ มันทัชใจมากกว่า ปกติเราก็ยืนบนเวทีที่มีคนดูเยอะๆ แต่พอมายืนคนเดียวมันมีความกดดันเยอะ เราะทำอย่างไรให้คอนโทรลคนที่มาดู แต่วันนั้นที่คอนเสิร์ต Open Camp มันทำให้เห็นว่าเราก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ก้าวขาเข้าไปในคำว่า T-Pop
ซัทจัง : ก็อย่างที่พี่นายบอกคือมีความกดดันมากๆ โดยเฉพาะโชว์หนูที่กดดันตัวเองจากเพลงที่เลือกไปเพราะความคิดไวว่าฉันจะร้องเพลงนี้ โดยที่ไม่ได้คิดว่าเราจะไปแบบไหน แล้วมันก็ไม่ใช่เพลงที่ง่ายสำหรับหนูเลย ก็เลยรู้สึกว่าหนูเครียดกับโชว์ว่าคนจะเอนจอยไหม จะสื่อสารถึงคนดูไหม ก็ตื่นเต้นดีค่ะที่ได้ก้าวเข้าสู่ T-Pop
มายยู : รู้สึกดีค่ะ ก็เป็นภาพที่ฝันมาตลอด วันนี้ได้ก้าวเข้าสู่วงการ T-Pop สักที อยากปล่อยเพลงมากแล้วค่ะ
มองอนาคตตัวเองอย่างไรทั้งในฐานะ BNK48 และ INDY CAMP
ซัทจัง : ถ้า BNK48 หนูอยากกลับไปติดเซ็มบัตสึค่ะ เพราะหนูไม่ได้ติดเซ็มมาตั้งแต่ซิงเกิลที่ 8 ตอนนี้ก็ซิงเกิลที่ 14 แล้ว เป็นเวลาที่ยาวนานมาก อยู่ BNK48 ก็จะยังคงเต็มที่กับงานที่ทำอยู่ดีค่ะ ส่วน INDY CAMP ก็คิดว่าอยากเต็มที่ตรงนี้เหมือนกัน อยากทำให้ได้ อยากข้ามความกลัวของตัวเองไปให้ได้
ซึ่งความกลัวของหนูคือการร้องเพลงคนเดียว ซึ่งอยู่ใน BNK48 จะไม่มีโมเมนต์นั้นเท่าไร มันจะไม่มีโมเมนต์เราร้องโซโล่เยอะขนาดนั้น อาจจะมีบางเพลงที่ร้องสั้นๆ หนึ่งท่อน ก็เลยไม่ได้กลัวขนาดนั้น แต่พอเป็น INDY CAMP ที่เป็นคนเดียวจริงๆ จะกดดันมากๆ เพราะหนูรู้สึกว่าหกปีที่ผ่านมาหนูพัฒนาตัวเอง แต่หนูรู้สึกว่าอยากพัฒนาให้ได้มากกว่านี้อีกในด้านการร้องเพลง
ส่วนการจัดการของหนู ที่ผ่านมาหนูจะใช้วิธีสะกดจิตตัวเองว่าไม่เครียดๆ ตั้งแต่แต่งหน้าเลย ทุกคนจะทักว่าหน้าเครียดแล้วนะ หนูพยายามไม่เครียดแล้ว ก่อนเพลงแรกขึ้นหนูจะร้องไห้แล้ว หนูกลัวเรื่องเสียงร้องของตัวเองมากๆ ถึงแม้ว่าทุกคนจะบอกว่ามันดี แต่สักพักหนูก็จะรู้สึกว่ายังไม่ดี เพราะทุกคนร้องเพลงเพราะมาก จนทุกคนต้องบอกว่าซัทจังดีในแบบของซัทจังแล้ว
นาย : ถ้าเป็น BNK48 หนูอยากติดเซ็มบัตสึซิงเกิลหลักสักครั้งหนึ่ง น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายจริงๆ ที่ถ้าได้ก็จะคอมพลีทแล้ว เพราะไม่เคยติดจริงๆ นะ เลยรู้สึกว่าแล้วเมื่อไรล่ะ แล้วระยะเวลาก็เริ่มสั้นลง เมื่อไรโอกาสตรงนั้นที่เราคอยหาเมื่อไรมันจะมาหาเราสักที
ส่วน INDY CAMP หนูคิดว่าอยากตั้งใจให้ทำได้ตามที่ตัวเองพูดมาตั้งแต่แรกว่าอยากเป็นศิลปิน ถ้าได้มีเพลงของตัวเอง เพลงนั้นเป็นที่รู้จักนอกเหนือจากคนที่เป็นแฟนคลับของเราอยู่แล้ว ตรงนั้นน่าจะเป็นความสำเร็จ ไม่ว่าหนูจะไปยืนอยู่ตรงไหน ก็อยากให้ทุกคนมีรอยยิ้ม มีความสุขกับสิ่งที่หนูเป็นค่ะ
มายยู : ในฐานะ BNK48 หนูต้องเต็มที่กับหน้าที่ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ คือการเป็นเมมเบอร์ที่ดี ทั้งการทำงาน การเพอร์ฟอร์ม การฝึกซ้อม ส่วนพาร์ทของ INDY CAMP หนูคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นศิลปินที่มีคุณภาพ อยากมีเพลงฮิต หนูเครียดสุดๆ เลยนะ หนู่ว่าสิ่งที่กดดันสุดๆ ในโปรเจคนี้ไม่ใช่การเพอร์ฟอร์ม แต่เป็นการทำเพลง ทำอย่างไรให้ได้เพลงฮิต จะทำอย่างไรให้ค่ายที่เราสังกัดและเพลงของเราเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มันสำคัญมากสำหรับหนู ก็เลยอยากทุ่มเทกับมันให้เยอะๆ ในพาร์ทของการผลิตผลงานเพลง ก็จะเต็มที่ค่ะ
พูดถึง Theme Song ของ INDY CAMP?
มายยู : เพลงธีมของเราคือเพลงบันได รู้สึกว่าเป็นเพลงหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของเพลงติดหู ซึ่งเพลงนี้แต่งขึ้นจากเรื่องของพวกเราทั้ง 12 คน ทั้งความฝัน ความคาดหวัง ประสบการณ์
นาย : ตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรกที่ยังเป็นเดโม่ ไม่ใช่เสียงเรา ก็ยังนึกไม่ออก แต่พอได้มาลองร้องด้วยกันจริงๆ เลยรู้สึกว่าอิมแพคมากๆ อิมแพคยิ่งกว่าอิมแพคอารีนาอีกค่ะ (ฮา) ยิ่งเราไปเล่นกับดนตรีสด มันดีจริงๆ ขนาดแม่หนูยังพูดเลยว่าเพลงนี้ดีนะเนี่ย ความหมายและเนื้อเพลงตรงกับเรามากๆ
ติดตามโปรเจค INDY CAMP ได้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย