‘เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้’ อดีตนักเทนนิสลงสมรภูมิรบ ปกป้อง ‘ไวน์ยูเครน’
อดีตนักเทนนิสมืออาชีพ ‘เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้’ จำต้องจับปืนลงสนามรบใน ‘สงครามรัสเซีย-ยูเครน’ เพื่อรักษาธุรกิจไวน์ของตัวเองคือ ‘ไวน์ยูเครน’
สงครามรัสเซีย-ยูเครน เริ่มมาตั้งแต่ปี 2014 ก่อนจะประทุเดือดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบไปหลายวงการ แม้แต่วงการกีฬาและวงการไวน์ และคงจะมีเพียง เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้ (Sergiy Stakhovsky) ที่เกี่ยวข้องทั้ง 2 วงการ เรียกว่าจากการควงแร็กเกตบนคอร์ทเทนนิส ต้องมาจับปืนในสนามรบ ป้องกันประเทศ และรักษาธุรกิจ ไวน์ยูเครน ของตัวเอง
เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้ จากนักเทนนิสมาจับปืนเพื่อปกป้องไวน์ยูเครน
เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้ อดีตนักเทนนิสอาชีพชาวยูเครน เริ่มเล่นเทนนิสอาชีพในปี 2003 และเล่นในระดับ Challenger (2005 – 2008) อันดับสูงสุดในอาชีพคืออันดับที่ 31 ของโลกในประเภทเดี่ยวและอันดับที่ 33 ในประเภทคู่ และคว้าแชมป์อาชีพครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2008
ขณะนั้นเขาเป็นมือที่ 116 ของโลก สร้างผลงานหนึ่งที่โลกตะลึงคือ เอาชนะโรเจอร์ เฟดเดอร์เรอร์ มือ 3 ของโลก ในรอบ 2 ของเทนนิสแกรนด์สแลม วิมเบิลดัน (Wimbledon) ปี 2013 เป็นการชนะมือท็อป 10 ของโลกเป็นครั้งแรก แต่ต่อมาเขาก็ตกรอบ ออสเตรเลีย โอเพ่น (Australian Open) ปี 2022 หลังจากแพ้ เจ.เจ.วูล์ฟ เขาจึงประกาศเลิกเล่นหลังจากกรำศึกลูกสักหลาดมาถึง 19 ปี
เซอร์จีย์ในห้องบ่มไวน์
จากนั้นเขากลับบ้านเกิด จนกระทั่งเข้าร่วมกองทัพบกยูเครนสังกัดกองกำลังพิเศษ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เข้าร่วมรบในสงครามบักห์มุต (Battle of Bakhmut)
เซอร์จีย์ แต่งงานกับอนฟิกา บัลกาโควา (Anfisa Bulgakova) โค้ชความงามสาวชาวรัสเซีย มีลูก 3 คน แต่มาอาศัยอยู่ในกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ตั้งแต่ปี 2014
เซอร์จีย์ เริ่มรู้จักไวน์ครั้งแรกในช่วงที่ไปเขาเล่นเทนนิสให้กับทีม Villa Primrose สโมสรเทนนิสในเมืองบอร์กโดซ์ ซึ่งมีสปอนเซอร์เป็นชาโตไวน์ดังอย่าง ชาโต มูตง ร็อธส์ชิลด์ (Château Mouton Rothschild), ชาโต โอต์ บริอง (Château Haut-Brion) และ ชาโต ดีเค่ม (Châteaud’Yquem) เป็นต้น
ตลอดเวลา 12 ปีที่เขาเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ ทำให้เขาได้ไปชาโตหลายแห่ง และพบว่าหินปูน (Limestone) ที่เป็นส่วนประกอบในดินของบอร์กโดซ์นั้นที่บ้านเขาก็มี
เซอร์จีย์ จึงเริ่มทำไวน์อย่างจริงจังในปลายปี 2015 ด้วยการเช่าพื้นที่ขนาด 22.5 เฮกตาร์ จากไร่เก่าแก่ใกล้ภูเขากุกลา (Kuklya) ในทรานส์คาร์เปเธียน (Transcarpathia) ซึ่งดินมีส่วนผสมของดินเหนียว หิน และลาวาจากภูเขาไฟ
Ace by Stakhovsky
ปลูกองุ่นแมร์โลต์ (Merlot) ซาเปราวี (Saperavi) และพิงค์ ทรามิเนอร์ (Pink Traminer) เก็บเกี่ยววินเทจแรก 2018 หลังจากนั้นจึงปลูกองุ่นพันธุ์อื่น ๆ ตามมา และผลิตไวน์อีกหลายรุ่นทั้ง ไวน์แดง ไวน์ขาว และออเรนจ์ ไวน์
ไวน์ของเซอร์จีย์ มีชื่อว่า Ace & W by Stakhovsky คำว่า Ace หมายถึงการเสิร์ฟเอซ เป็นลูกเสิร์ฟครั้งเดียวที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถรับได้ ส่วน W มาจากคำว่า Win หมายถึงชัยชนะ ฉลากไวน์บางรุ่นจะมีรูปของเขากำลังเสิร์ฟ Ace
ฉลากไวน์รูปเซอร์จีย์กำลังเสิร์ฟ
ไวน์แดงที่สร้างชื่อคือรุ่นคอลเลคชั่น Ace by Stakhovsky ทำจากองุ่น Merlot, Saperavi, Zweigelt และ Cabernet Sauvignon บ่ม 10 เดือนในถังโอ๊คฝรั่งเศส
ส่วน ไวน์ขาว W by Stakhovsky ประกอบด้วย Traminer, Riesling, Chardonnay และออเรนจ์ ไวน์ W by Stakhovsky Orange wine ขณะที่ไวน์รุ่นลิมิเต็ดบ่ม 24 เดือน เป็นต้น
ปัจจุบันไวน์ Ace & W by Stakhovsky ส่งไปขายในยุโรปหลายประเทศ เช่น สาธารรัฐเชก สโลวาเกีย ฮังการี ออสเตรีย รวมทั้งญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บอร์กโดซ์ไวน์ Traminer W และ Saperavi ACE นำไปจัดแสดงใน La Cité du Vin พิพิธภัณฑ์ไวน์ชื่อดังของฝรั่งเศสและของโลก
ห้องชิมไวน์ต้อนรับผู้มาเยือน
ขณะที่ในไวเนอรีมีนักท่องไปเที่ยวไปเยี่ยมชมและชิม ก่อนหน้า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ประมาณปีละพันกว่าคน ชมกระบวนการผลิตไวน์ ชิมไวน์รุ่นพิเศษ ผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ชีสโฮมเมด ฯลฯ
“ผมหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับมาโดยเร็ว” เซอร์จีย์ สตาคอฟสกี้ ว่าไว้...
นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ไวเนอรีในยูเครน ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
สวิททานา ทีบัค (Svitlana Tsybak) CEO ของไวน์เบย์กุช (Beykush Winery) และหัวหน้าของ Ukrainian Craft Winemaker Association บอกว่า
“เป็นอันตรายอย่างมากที่จะทิ้งไวเนอรีไปในช่วง 2-3 เดือนแรกของสงคราม และเมื่อต้องกลับมาทำงานไนไร่องุ่นอีกครั้งก็ต้องทำแบบ new normal ทุกวันนี้ไร่องุ่นยังเต็มไปด้วยปลอกกระสุน โชคดีตรงที่ไร่องุ่นของเราไม่ถูกถล่มโดยจรวด”
Prince Trubetskoi Winery ที่ถูกจรวดถล่ม
Beykush Winery ตั้งอยู่ริมทะเลดำ ตามชายฝั่งของภูมิภาค Mykolaiv ใกล้กับ Odessa ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกโจมตีในวันแรกของสงคราม พื้นที่นี้ยูเครนยังควบคุมเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากอยู่ติดกับพื้นที่ยึดครองของรัสเซีย จึงถูกระดมยิงอย่างต่อเนื่อง
Beykush Winery ก่อตั้งโดย Eugene Shneyderis ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีชาวยูเครนกว่าทศวรรษที่แล้ว ปลูกองุ่นนานาชาติ เช่น ชาร์โดเนย์(Chardonnay) และปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir) จากฝรั่งเศส เทมปรานีลโย (Tempranillo) อัลบาริโญ (Albariño) จากสเปน ซาเปราวี (Saperavi) รัตซิเตลิ (Rkatsiteli) จากจอร์เจีย และเทลติ คูรุค (Telti-Kuruk) องุ่นพื้นเมืองของยูเครน
Beykush Winery ริมทะเลดำ
ขณะที่ พรินซ์ รูเบทสกอย ไวเนอรี (Prince Trubetskoi Winery) ไวเนอรีเก่าแก่อายุกว่า 128 ปี ในเขต Kherson เป็นหนึ่งในไร่องุ่นที่โชคร้าย ถูกระเบิดของรัสเซียถล่มเสียหายอย่างหนัก ทุกวันนี้ในไร่ยังเต็มไปด้วยทุ่นระเบิด
ไวน์เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมกิน-ดื่มในยูเครน แม้มีประวัติการผลิตไวน์มาแต่โบราณ แต่มีบางช่วงซบเซาไป จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา การทำไวน์เริ่มเฟื่องฟู เริ่มขยายพื้นที่ทำไวน์ไปทางภาคเหนือของประเทศ รอบเมืองเคียฟ และเชอร์นิฮีฟ (Chernihiv) โดยมีผู้นำศาสนาหรือพระเป็นแกนนำ
ไวน์ขาวรุ่นยอดนิยม
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินี แคทเธอรีนมหาราช (Empress Catherine the Great / 1729–1796) ในปี ค.ศ.1783 ไครเมีย กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ท่านเคาน์มิคาอิล วอรอนต์ซอฟ (Count Mikhail Vorontsov) เป็นผู้ริเริ่มปลูกองุ่นครั้งแรกในปี 1820 และก่อตั้งไวเนอรีขนาดใหญ่ใกล้กับยัลตา (Yalta)
ปี 1828 มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยการปลูกองุ่นมาการัช (Magarach) ปัจจุบันมีไวน์กว่า 20,000 ตัวอย่าง จากไวน์กว่า 3,200 จำพวก จากนั้นปี 1822 ผู้ปลูกองุ่นชาวสวิสจากรัฐโวด (Vaud) ได้ก่อตั้งไวเนอรีชื่อ ชาโบ (Shabo ฝรั่งเศสเรียกว่า Chabag) ในเขต Odessa โดยได้รับพระบรมราชานุญาติจาก ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 (Tsar Alexander I)
ไวน์แดงรุ่นคอลเลคชั่น
ในงาน World's Columbian Exposition 1893 ในชิคาโก้ ไวน์จาก Chabag ได้นำไปจัดแสดงให้ผู้คนได้ลิ้มรส ได้รับการตอบรับอย่างดี และได้รับเหรียญรางวัลกลับมา
หลังสงครามไครเมีย (1854 -1856) จบลง เจ้าชายเลฟ กอร์ลิตซีน (Lev Golitsyn) ได้ใช้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ทำ สปาร์คกลิ้งไวน์ ด้วยการผลิต แชมเปญรัสเซีย ชื่อ Champagner เป็นครั้งแรกที่ Novyi Svet ใกล้ยัลตา
ออเรนจ์ไวน์ของยูเครน
ต่อมาภายใต้การปกครองของซาร์องค์สุดท้าย นิโคลัสที่ 2 (1868–1918) ได้ก่อตั้ง มาสซานดรา (Massandra) ปัจจุบันเป็นไวเนอรีของรัฐ
และเมื่อพูดถึง ไวน์ยูเครน ผู้คนจะนึกถึงมาสซานดราเป็นอันดับแรก และเคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2015 อัยการยูเครนสั่งฟ้อง ยานินา พาฟเลนโก (Yanina Pavlenko) ผู้อำนวยการไวเนอรี ข้อหานำไวน์เก่าแก่อายุ 240 ปี มาเปิดให้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลี (พ้นตำแหน่งปี 2011) ได้ชิม ระหว่างที่ทั้งคู่ไปเยี่ยมชมไวเนอรีดังกล่าว
Madera Massandra
ในยุคที่อยู่ใต้ปีกของสหภาพโซเวียตนั้น ยูเครน มีพื้นที่ปลูกองุ่นทำไวน์ 2,500 ตารางกิโลเมตร เป็นซัพพลายเออร์ไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพโซเวียต จนกระทั่งปี 1986 มิคาอิล กอร์บาชอฟ นายกกรัฐมนตรีโซเวียต เริ่มรณรงค์ต่อต้านการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปในสหภาพโซเวียต ทำให้ไร่องุ่นถูกทำลายทิ้งไปประมาณ 800 ตารางกิโลเมตร
ไวเนอรีที่ผลิต Madera Massandra (Cr.massandrawijin.nl)
ปี 2000 ท้องฟ้าสดใสขึ้น นับแต่ปีนั้นเป็นต้นมา การผลิตและการส่งออกไวน์ของยูเครนก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไวน์ยูเครน ส่งออกไปยังหลายประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ
ไวน์ที่สร้างชื่อให้กับยูเครนคือ ไวน์หวาน (Dessert Wines) และ ฟอร์ติไฟด์ ไวน์ (Fortified Wine) โดยใช้ชื่อว่า Madera Massandra ไวน์พวกนี้สามารถทำราคาในการประมูลได้อย่างมหาศาล
รองลงไปคือ สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine) ที่เรียกว่า Sovetskoye Shampanskoye หรือ โซเวียต แชมเปญ (Soviet Champagne) ทำด้วยกรรมวิธีเดียวกับแชมเปญของฝรั่งเศส เป็นต้น
ไวเนอรีของเซอร์จีย์
ไวน์ยูเครน เพิ่งสดใสได้ 20 กว่าปี ฟ้ากลับมาหม่นอีกครั้ง สงครามรัสเซีย- ยูเครน ปี 2022 กลายเป็นวิบากกรรมครั้งใหม่ของอุตสาหกรรมไวน์ยูเครน ราวกับถูกสาป...