ถอดสูตรความสำเร็จ ‘วชิรวิทย์ พูน’ แห่ง AEG ที่เข้ามาเปลี่ยนหนี้ร้อยล้านเป็นกำไร
“คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนสำรวจโลกทัศน์ของ วชิรวิทย์ พูน หรือ "พี่จ๋าย" รองผู้อำนวยการแห่งแองโกลอีสต์ กรุ๊ป (AEG) นักธุรกิจหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทาย และเชื่อว่าความสำเร็จมาจากการทุ่มเท เรียนรู้ และพร้อมเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรค จนสามารถเปลี่ยนหนี้ร้อยล้านเป็นกำไรได้
ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน มีนักธุรกิจรุ่นใหม่เพียงไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสานต่อธุรกิจของครอบครัวได้อย่างน่าประทับใจ เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่เคยราบรื่น โดยเฉพาะสำหรับผู้นำเจเนอเรชันใหม่ที่ต้องการพลิกโฉมธุรกิจครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อต้องแบกรับภาระหนี้สิน แต่ด้วยความเชื่อมั่นและวินัยอันเข้มแข็ง เขาสามารถพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้
ภายใต้บรรยากาศการทำงานที่เข้มข้นและกดดัน เขาได้สร้างอัตลักษณ์ของตัวเองและองค์กรด้วยปรัชญาการทำงานแบบ "AT EASE" ซึ่งไม่ได้หมายถึงความผ่อนคลาย แต่เป็นการมุ่งมั่นให้ผู้ที่ใช้บริการ ตลอดจนพนักงาน และทุกหน่วยงานที่ติดต่อด้วย รู้สึกสบายใจเมื่อมี AEG อยู่ด้วย เป็นการสร้างพื้นที่ให้ทั้งตัวเขาเองและทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ท่ามกลางช่วงวัยเด็กเติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการทำงาน การเห็นพ่อแม่ทุ่มเทกับการงานตั้งแต่ตีห้าจนถึงตีสอง กลายเป็นบทเรียนชีวิตที่หล่อหลอมทัศนคติการทำงานจนอาจจะทำให้เขาเป็นหนึ่งคนที่มีนิยามของคำว่า “Work-Life Balance” ในแบบฉบับของตัวเอง คือ การมีความสุขในสิ่งที่ทำและให้ความหมายกับชีวิต มากกว่าการจะจำกัดคำนี้ด้วยเวลาในแต่ละวัน
ที่สำคัญ ทักษะที่โดดเด่นและช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในปัจจุบันคือการเป็น“นักขายที่เก่งและมีวินัย” ไม่ใช่แค่การขายสินค้าหรือบริการ แต่คือการขายวิสัยทัศน์และสร้างความเชื่อมั่น ให้ความสำคัญกับวินัยและความมุ่งมั่นซึ่งสามารถส่งต่อถึงบุคลากรภายในองค์กรเช่นกัน
เพื่อเข้าใจวิธีคิด การทำงาน และการใช้ชีวิตของผู้บริหารท่านนี้มากขึ้น “คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนสำรวจโลกทัศน์ของ วชิรวิทย์ พูน หรือ "พี่จ๋าย" รองผู้อำนวยการแห่งแองโกลอีสต์ กรุ๊ป (AEG) นักธุรกิจหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทาย และเชื่อว่าความสำเร็จมาจากการทุ่มเท เรียนรู้ และพร้อมเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรค
กิจวัตรประจำวันเป็นยังไงบ้าง
ผมค่อนข้างจะเป็นลองเดย์นิดหนึ่งคือจะเริ่มวันเช้าหน่อยโดยปกติก็ประมาณ 6 โมง คือเราตื่นมา ก็ต้องออกกำลังกายซึ่งอันนี้เป็นรูทีนที่ผมเชื่อว่า เราต้องมีพลังงานที่ดีก่อนที่จะทํางานหรือเริ่มทำอะไรก็ตาม
ถ้าวันไหนไม่ได้มีนัดเช้ามาก ก็ออกกําลังกาย ไปยิม แต่ว่าถ้าตารางแน่นแล้วเหลือเวลาแค่ 15 - 20 นาที ก็จะทำ Intensive Weight Training เช่นวิดพื้น สควอท หรือดึงข้อ เสร็จปุ๊บมาที่ทำงานก็จะเริ่มประชุมด้วยหรือบางวันอาจจะออกไปคุยกับลูกค้าสลับกันไปตั้งแต่เช้าไปจนถึงเลิกงาน
พอตกเย็นจะเป็นเวลาส่วนตัว ถ้าไม่มีงานนัดไปงานข้างนอก อีเวนต์หรือทานอาหารกับลูกค้า และโดยปกติแล้วก็จะทำงานไปจนถึงสักประมาณ 5 ทุ่มครึ่งเที่ยงคืนแล้วค่อยเข้านอน
แต่ว่าถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ ต้องบอกว่าผมทำงานวันเสาร์ด้วยเพราะเราโตมาแบบนั้น ส่วนวันอาทิตย์เราก็จะมีเวลานิดหน่อย ก็อาจจะไปออกกําลังกายไปเล่นกอล์ฟ ไปเล่นฟุตบอล พบปะกับเพื่อน ๆ แล้วตอนเย็นก็เตรียมตัวไปทำงานวันจันทร์
ที่สำคัญปกติแล้วตอนเย็นหลังเลิกงานจะเป็นช่วงที่ได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว จะเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มาทำ Self Reflection สิ่งที่ทำอยู่อะไรโอเค อะไรไม่โอเค อะไรต้อง explore ทีมไหนต้องทำงานด้วยเยอะหน่อยหรือเราจะพัฒนาเราจะส่งเสริมน้องในทีมได้ยังไง
คิดว่าตัวเองเป็นผู้บริหารแบบไหน
การทำงานที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและความเข้าใจในศักยภาพของตนเอง หัวใจสำคัญคือการสร้าง "ความสบายใจ" (AT EASE) ในการปฏิบัติงาน โดยเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย กระบวนการทำงาน หรือระยะเวลาในการส่งมอบงาน เมื่อพนักงานเข้าใจอย่างชัดเจนว่าหากทำงานได้ตามเกณฑ์จะได้รับผลตอบแทนเช่นไร พวกเขาจะรู้สึกสบายใจและมีแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
ความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นอีกปัจจัยสำคัญ พนักงานแต่ละคนมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน บางคนอาจทำงานในเวลาปกติ ในขณะที่บางคนพร้อมทุ่มเทเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สิ่งสำคัญคือการยอมรับความแตกต่างและศักยภาพที่ไม่เท่ากันของแต่ละบุคคล การสนับสนุนให้ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามแบบฉบับของตนเอง
นอกจากนี้ การดูแลลูกค้าถือเป็นอีกมิติที่สำคัญของการทำงานด้วยความสบายใจ องค์กรต้องมีระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการติดตามและตอบสนองความต้องการอย่างรวดเร็วและใกล้ชิด การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องจะนำมาซึ่งความไว้วางใจและความสำเร็จขององค์กร
สุดท้ายหลักการทำงานด้วยคำว่า "AT EASE" ก็คือการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกระบวนการทำงาน พัฒนาทักษะ หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อความก้าวหน้าขององค์กรและตัวบุคลากรเอง
AEG ขยายไปหลายที่ทั่วอาเซียน เคยเจอความแตกต่างทางด้านการทำงานของแต่ละประเทศไหม
ความแตกต่างแรกคือเรื่องเวลา แต่ไม่มากเพราะแต่ละประเทศในอาเซียนห่างกันเพียง 1 ชั่วโมง แต่ผมก็ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า แม้เราจะประชุมข้ามเวลา แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก อาจจะต่างแค่ช่วงเวลาเริ่มงานและเลิกงาน
มากไปกว่านั้น จากประสบการณ์ทำงานกับทีมในหลายที่ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ผมพบความแตกต่างที่น่าสนใจ เช่น การเตรียมงานจิวเวลรี่แฟร์ในฮ่องกงที่มีผู้ผลิตถึง 6,000 คน เมื่อคุยกันจบ เขาจะตอบกลับภายในหนึ่งชั่วโมง และจัดการงานอย่างรวดเร็วรวมทั้งมีรายละเอียดมาให้ครบถ้วน
อย่างมาเลเซีย แม้จะมีคนน้อยกว่า แต่ก็มีวัฒนธรรมการทำงานคล้ายกัน คือตอบเร็ว และมีการจัดการที่ดี บางประเทศต้องมีการจัดการแบบ “MICRO MANAGE” คือควบคุมรายละเอียดอย่างใกล้ชิด บางประเทศปล่อยให้อิสระแล้วมาสรุปตอนท้าย
ความสนุกของการทำงานข้ามวัฒนธรรมคือการปรับตัวและเรียนรู้ระหว่างกัน ทีมของเราทุกคนทำงานดี มีความรับผิดชอบ และมีคุณภาพ นี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจ การเปิดใจเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เราทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข
พี่จ๋ายเคยให้สัมภาษณ์ว่าหนึ่งในสกิลที่ผู้ก่อตั้งและเจ้าของธุรกิจควรมีคือสกิลการขาย เพราะอะไร
ในโลกของธุรกิจ ทักษะการขายถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้ง ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการต่างต้องมี การขายไม่ได้หมายถึงเพียงการขายสินค้าหรือบริการ แต่หมายรวมถึงความสามารถในการสื่อสารวิสัยทัศน์ สร้างความเชื่อมั่น และนำพาธุรกิจไปข้างหน้า
เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เขาถูกปฏิเสธถึง 60 ครั้งก่อนที่จะได้รับการสนับสนุน แต่ความพยายามในการขายไอเดียและความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้เขาสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อขายได้ก็จะมีเงิน และกระแสเงินสดและความสามารถในการหมุนเวียนทรัพยากรนี่แหละเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอด
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดในองค์กร การเป็นนักขายที่ดีคือทักษะที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวหน้า การขายที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่สร้างรายได้ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทีมงาน และลูกค้าด้วย
แล้วทักษะอะไรทำให้เราเป็นนักขายที่ดี
วินัยคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการขาย ผมทำงานใกล้ชิดกับทีมเซลล์และสังเกตเห็นว่าเซลล์ที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ มีเพียงไม่กี่คน โดยสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ "วินัย"
วินัยในการขายไม่ได้หมายถึงแค่การปิดการขาย แต่หมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ผมเคยมีประสบการณ์กับเซลล์หลายคน และพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จจะมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น:
1. รู้จักผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง
2. สามารถตอบคำถามลูกค้าได้อย่างชัดเจน
3. กล้าที่จะรับฟังคำติชม
4. มีวินัยในการติดตามลูกค้า
ผมเคยโดนลูกค้าปฏิเสธหลายครั้ง ก็มีบางครั้งที่เรารู้สึกเจ็บปวด แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีวินัยในการปรับปรุงและเรียนรู้ ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธกี่ครั้ง ก็ต้องสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่
การติดตามลูกค้าอย่างมีระบบเป็นเรื่องสำคัญ ผมเคยติดตามลูกค้ารายหนึ่งถึง 4 ปี ก่อนที่จะได้รับโอกาส นี่คือตัวอย่างของความอดทนและวินัย สำหรับผม การเป็นเซลล์ที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนที่ประสบความสำเร็จในการขายจะมีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาทำ และนั่นคือความแตกต่างที่แท้จริง
พี่จ๋ายได้แนวคิดเรื่องความมีวินัยมาจากที่ไหน เห็นตัวอย่างมาจากคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่า
ผมเติบโตมากับครอบครัวที่ไม่ได้พบปะหรือสื่อสารกันบ่อยนัก เนื่องจากทุกคนทำงานหนัก ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งที่ผมประทับใจ คือ การสอนโดยการกระทำ
ผมเห็นพ่อแม่ของผมทำงานอย่างทุ่มเท หรือแม้ว่าจะมีนัดหมายในที่ต่าง ๆ ทั้งในไทย ฮ่องกง มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย พวกท่านก็ยังคงทำงานอย่างจริงจัง ไปตามนัดตลอด แม่ผมออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปทำงานและกลับบ้านดึกถึงตีสองหลังจากเลิกงาน
ผมเรียนรู้เรื่องวินัยจากการสังเกตการปฏิบัติของพ่อแม่ พวกท่านทำงานอย่างมุ่งมั่นและมีประสิทธิภาพ แม้จะอยู่ในช่วงที่สามารถพักผ่อนได้ แต่ก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง นี่คือบทเรียนชีวิตที่ผมได้รับโดยตรงจากการกระทำของพ่อแม่
ฟังแบบนี้แล้ว ส่วนตัวเชื่อเรื่องเวิร์คไลฟ์บาลานซ์ไหม
ผมไม่เคยเห็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วมีเวิร์คไลฟ์บาลานซ์เลย ไม่ว่าจะเป็นในหมู่ผู้ใหญ่ที่รู้จัก คุณพ่อคุณแม่ หรือแม้กระทั่งในระดับนานาชาติ
สิ่งที่ผมเห็นคือ คนส่วนใหญ่มักแบ่งชีวิตอย่างชัดเจนว่า ในช่วงที่ยังมีพลัง พวกเขาจะทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่ บางคนทำงานวันละ 16-18 ชั่วโมง เพราะเชื่อว่าสามารถทำสิ่งที่คนอื่นทำใน 10 ปี ให้สำเร็จภายใน 5 ปีได้
มุมมองของผมคือ "ชีวิต" ไม่ได้หมายถึงการบินไปเที่ยวต่างประเทศ หรือนอนพักผ่อนที่บ้านเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ "มายด์เซ็ต" ต่างหาก การมีความสุขกับสิ่งที่ทำ และการให้ความหมายกับชีวิตในแบบของตัวเองต่างหากคือความสำคัญ
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน ผมสังเกตว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ คือคนที่ทุ่มเทและทำงานหนัก อาจมีบ้างที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานหนัก แต่นับได้ไม่กี่คน อาจจะเป็นเพียง 0.00001% เท่านั้น
ในฐานะ เจนฯ 2 ที่เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว ยากไหม
ผมเริ่มต้นชีวิตค่อนข้างลำบาก เหมือนกับคนที่ต้องสานต่อกิจการครอบครัวหลาย ๆ คน ตอนนั้นธุรกิจของผมมีหนี้ค่อนข้างเยอะ จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั่วประเทศที่เราขยายกิจการไป สถานะทางการเงินไม่ได้สบายขนาดนั้น
ในฐานะเจนฯ 2 เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลง ผมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องสร้าง "สมการ" ใหม่ ถ้าเรานำ 5 + 4 บวกยังไงมันก็ได้ 9 เหมือนเดิม แต่ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์แบบใหม่ ลองเพิ่ม 3 เข้าไปก็จะได้ 12 หรือเพิ่ม 10 ก็จะได้ 19
การเปลี่ยนแปลงต้องแลกมาด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองและทีมงาน ที่สำคัญตัวเราต้องพร้อมรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เหมือนกับนักวิ่งที่ล้มลง แต่ยังคงลุกขึ้นสู้ต่อไป แต่แค่ตอนนั้นผมเหมือนคนที่ล้มแล้วไม่มีใครมาคอยรับไว้
ผมเชื่อว่าถ้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้องสร้างสรรค์มุมมองใหม่ และพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่น แม้บางครั้งจะรู้สึกโดดเดี่ยวและยากลำบาก แต่ความเชื่อมั่นจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้เราสำเร็จได้ในที่สุด
สุดท้ายมีหนังสือเล่มไหนที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากในการทำธุรกิจมาได้ไหม
เริ่มแรก แน่นอนว่าหนังสือพื้นฐานอย่าง How to Win Friends and Influence People ของเดล คาร์เนกี้ หรือ Think and Grow Rich ของนโปเลียน ฮิลล์ต้องอ่านเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว เพราะช่วยเรื่องการสื่อสารและพัฒนาตัวเอง
แต่อีกสองเล่มที่ผมนึกถึงจริง ๆ คือ
1. Blue Ocean Strategy: เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง Positioning ทางการตลาด ให้มุมมองเหมือนกับว่าในทะเลที่มีฉลามร้อยตัว เราจะยืนอยู่ตรงไหนดี ผมได้แง่คิดว่าการทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องแข่งขันในทะเลที่เต็มไปด้วยคาวเลือดแออัด (Red Ocean) แต่สามารถหาทะเลที่ยังมีฝูงปลาชุกชุม (Blue Ocean) ที่ยังมีโอกาสได้ การเปลี่ยนมุมมองของตัวเองให้เป็น Blue Ocean คือการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง
2. The Art of the Deal ของโดนัลด์ ทรัมป์: ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดี หนังสือเล่มนี้สอนผมเรื่องการเจรจาต่อรอง วิธีคิดในเชิงธุรกิจ และการวางแผนอย่างละเอียด เช่น เรื่องการตรวจสอบทุกรายละเอียดก่อนทำโครงการ การเจรจากับธนาคาร การบริหารโครงการก่อสร้าง
ทั้งสองเล่มนี้ช่วยให้ผมเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดในการทำธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นเหมือนเข็มทิศนำทางในเวลาที่ผมต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำงานด้วย (ยิ้ม)