‘สาม’ เส้นทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างของ ‘สาม’ นักการเงินใน ‘สาม’ เจนเนอเรชัน

‘สาม’ เส้นทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างของ ‘สาม’ นักการเงินใน ‘สาม’ เจนเนอเรชัน

ถอดบทเรียนความสำเร็จจากสามนักการเงินในสามรุ่นที่เติบโตมาอย่างแตกต่าง เริ่มตั้งแต่ บรรยง พงษ์พานิช ดร.วิรไท สันติประภพ และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย

ช่วงตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมารายการ “เดอะต๊อทลีดเดอร์ ผู้นำทางความคิด” พูดคุยกับนักบริหารหลายรุ่นในหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ นักการเมือง นักการเงิน หรือนักเศรษฐศาสตร์

ในโอกาสปีใหม่ รายการเดอะต๊อทลีดเดอร์ชวนสรุปคีย์ซัคเซสของนักการเงินสามรุ่นที่ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาทั้งสามจะผ่านเส้นทางการใช้ชีวิตและการทำงานมาได้จนประสบความสำเร็จทุกวันนี้

คนแรกคือ คุณบรรยง พงษ์พานิช นายแบงก์ชื่อดังและผู้บริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในอีพี "หมวก 6 ใบของ ‘บรรยง พงษ์พานิช’ นักบริหารที่เชื่อว่าคนเก่งต้องไม่ ‘พอเพียง’”

การประสบความสำเร็จของคุณบรรยงมาจากหลายปัจจัยสำคัญ แม้ว่าเขาจะจบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ยเพียง 2.03 แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จได้ ปัจจัยแรกคือการมีนิสัยรักการอ่านที่ได้รับการปลูกฝังมาจากพ่อตั้งแต่เด็ก ทำให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและนำความรู้มาเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

‘สาม’ เส้นทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างของ ‘สาม’ นักการเงินใน ‘สาม’ เจนเนอเรชัน

อีกปัจจัยสำคัญคือการมีจิตวิญญาณของนักกีฬา ทำให้มีความชอบในการแข่งขันและมีความมุ่งมั่นที่จะชนะ ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การตระหนักถึงข้อจำกัดของตนเองทำให้เขาเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้จักพึ่งพาทีมงาน และพัฒนาตนเองจนสามารถเป็นผู้นำทีมที่ดีได้

คุณบรรยงยังได้พัฒนาทฤษฎี "5 ใจ" ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเป็นผู้นำที่ดี ประกอบด้วย ใจรัก (มีความหลงใหลในงานที่ทำ) ใจสู้ (กล้าเผชิญกับอุปสรรค) ใจถึง (กล้าเสี่ยงอย่างมีสติ) ใจกว้าง (เปิดรับความร่วมมือจากผู้อื่น) และใจสูง (มีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับ) หลักการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ยังทำให้เขาเป็นผู้บริหารที่คนเก่งอยากร่วมงานด้วย

ความสำเร็จของคุณบรรยงแสดงให้เห็นว่า แม้จะไม่ได้มีผลการเรียนที่โดดเด่น แต่ด้วยความมุ่งมั่น การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น และการมีหลักการที่ดีในการเป็นผู้นำ ก็สามารถประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรได้

คนต่อมาคือ ดร.วิรไท สันติประภพ​ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในตอน “วิรไท: ผู้นำที่เชื่อว่า การเป็นหัวหน้าที่ดีเหมือนเล่นดนตรีเป็นวง ออร์เคสตรา”

การประสบความสำเร็จของดร.วีรไท เริ่มต้นจากพื้นฐานครอบครัวที่หล่อหลอมให้เป็นคนที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม โดยเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการที่ปลูกฝังเรื่องจริยธรรม คุณธรรม และการคำนึงถึงผู้อื่น รวมถึงการได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาผ่านครอบครัว ทำให้มีโอกาสซึมซับหลักธรรมตั้งแต่เยาว์วัย นอกจากนี้ บรรยากาศการศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังช่วยเสริมสร้างแนวคิดเรื่องการคำนึงถึงสังคมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หลักการทำงานที่สำคัญของดร.วีรไทคือการทำงานด้วย "ฉันทะ" หรือความรักและความสนใจในงานที่ทำ โดยมองว่าการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ได้แยกออกจากกัน จึงต้องแน่ใจว่าสิ่งที่ทำนั้นตรงกับความสนใจและมีเป้าหมายที่ชัดเจน เขาให้ความสำคัญกับการทำงานให้ได้ดี และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามความสนใจที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงชีวิต

‘สาม’ เส้นทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างของ ‘สาม’ นักการเงินใน ‘สาม’ เจนเนอเรชัน

ในฐานะผู้นำ ดร.วีรไทยึดหลัก "Conductor Leaders" เปรียบเสมือนวาทยกรที่ต้องผสานความสามารถของคนเก่งแต่ละด้านให้ทำงานประสานกันอย่างลงตัว โดยเน้นการเข้าใจความหลากหลายของบุคลากร และการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุมให้ทุกคนทำงานไปในทิศทางเดียวกันเพื่อสร้างผลงานที่มีคุณภาพสูง

สิ่งที่ช่วยให้ดร.วีรไทก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายคือการใช้หลักพุทธศาสนา โดยเฉพาะการ "ฝึกสติ" ที่ช่วยให้สามารถแยกแยะปัญหาใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก และแก้ไขทีละส่วน รวมถึงการใช้หลัก "ไตรลักษณ์" ที่เข้าใจถึงความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ และหลัก "อนัตตา" ที่ช่วยให้ไม่ยึดติดกับตัวตนและความคาดหวังมากเกินไป ทำให้สามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของหลักการและประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนอีกหนึ่งผู้นำรุ่นใหม่ไฟแรงคือดร.สันติธาร เสถียรไทย จากตอน “ชีวิตที่ (เคย) หมดไฟของสันติธาร เสถียรไทย กับตั๋วเที่ยวเดียวกลับไทย ที่จุดไฟขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

ความสำเร็จของดร.สันติทานมาจากหลักคิดและการปฏิบัติตัวที่สำคัญหลายประการ โดยเขามองว่าโอกาสเปรียบเสมือนคลื่นที่มาเป็นช่วงๆ และมีระยะเวลาที่นิ่งค่อนข้างยาวนาน แนวคิดนี้ได้รับการปลูกฝังมาจากการสังเกตพ่อแม่ที่ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย แต่มักจะเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพื่อรับมือกับโอกาสเมื่อมันมาถึง

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งมาจากประสบการณ์การเติบโตในต่างประเทศ ซึ่งทำให้เขาต้องพัฒนาตนเองให้เก่งและแกร่งเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีอคติต่อคนเอเชีย จากประสบการณ์นี้ทำให้เขาค้นพบแนวคิดสำคัญว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเตรียมพร้อมและการคว้าโอกาสที่ถูกต้อง เปรียบเสมือนการมีกระดานโต้คลื่นและการจับจังหวะคลื่นที่เหมาะสม

‘สาม’ เส้นทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างของ ‘สาม’ นักการเงินใน ‘สาม’ เจนเนอเรชัน

นอกจากนี้ ดร.สันติทานยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาพอร์ตโฟลิโอการทำงานที่หลากหลาย โดยเชื่อว่าในอนาคต คนเราจะไม่ได้มีเพียงอาชีพเดียวหรือความสำเร็จเพียงจุดเดียว (Peak) แต่จะต้องสามารถทำงานหลายด้านพร้อมๆ กัน และมีเป้าหมายความสำเร็จหลายระดับที่สามารถไต่ระดับขึ้นไปได้เรื่อยๆ แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต