ไปเที่ยวกัน “MICE” รวม 6 เมืองน่า “เที่ยวเกาหลี” แนวใหม่ ได้เที่ยวแบบครบวงจร
“เที่ยวเกาหลี” มุมมองไมซ์ ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งศึกษาเรียนรู้ เหมือนทำงานพร้อมการพักผ่อนครบจบในทริปเดียว กับ 6 เมืองน่าเที่ยวที่เราจะแนะนำให้กลุ่มธุรกิจ “MICE” ลองไปดู
หลังจากเปิดประเทศมาพักใหญ่ การท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ก็กลับมาคึกคักทันที โดยเฉพาะกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ยังมี เกาหลี เป็นหมุดหมายในดวงใจ อยากไปแล้วอยากไปอีก
นอกจากการท่องเที่ยวเกาหลีสไตล์เดิม ทั้งแบบลุยเดี่ยวและแบบกรุ๊ปทัวร์ ยังมีการท่องเที่ยวอีกหนึ่งรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับหน่วยงาน องค์กร หรือบริษัท ที่ต้องการให้การเดินทางไปประเทศเกาหลีไม่ใช่แค่การเที่ยวธรรมดา แต่ยังพ่วงการศึกษา ดูงาน หรือแม้แต่การประชุม ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวกาหลีตั้งใจมอบประสบการณ์ให้กลุ่ม MICE
ความที่ "MICE" เป็นอีกหนึ่งสาขาของอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นจำนวนมาก เนื่องจากธุรกิจไมซ์เป็นธุรกิจที่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวเน้นคุณภาพและใช้จ่ายตอบแทนหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลแต่ละทริปนั้นค่อนข้างสูงกว่าการท่องเที่ยวประเภทอื่น ด้วยเหตุนี้ในแต่ละประเทศที่เป็นเมืองธุรกิจไมซ์จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับธุรกิจไมซ์เป็นอย่างมากเพื่อที่จะยกระดับประเทศตนเองให้เป็นมาตรฐานเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศในการเป็นเจ้าภาพจัดงานกิจกรรมที่สำคัญๆ ของภูมิภาคในแต่ละครั้ง และเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของการจัดประชุม
เมื่อ "เกาหลี" พร้อมรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม MICE ไปดูกันว่ามีที่ไหนน่าเที่ยว กับ 5 ที่เที่ยวเกาหลีแนวใหม่ เหมาะกับกลุ่มไมซ์มากๆ
1.วัฒนธรรมเกาหลีที่จอนจู
จอนจู (Jeonju) คือเมืองแห่งวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้ แหล่งท่องเที่ยวของจอนจูหลักๆ จะเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เช่น หมู่บ้านโบราณ (Jeonju Hanok Village) มีบ้านฮันอกโบราณซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของชาวเกาหลีอยู่มากถึงกว่า 700 หลัง
นอกจากจะได้เดินชมความงดงามของบ้านโบราณฮันอก นักท่องเที่ยวจะได้สวมบทชาวเกาหลีสมัยโบราณด้วยชุดฮันบกหลากสีหลายสไตล์ จะเช่าถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหรือจะสวมชุดฮันบกไปเดินเล่นชมเมืองเก่าก็เก๋และมีเสน่ห์มากๆ
และไม่ไกลกันนัก คือที่ตั้งของ Royal Room of King โรงแรมสไตล์ฮันอก แต่ผสมผสานความทันสมัยเอาไว้ โดยเฉพาะส่วนห้องประชุมและการสัมมนาที่ให้ทั้งบรรยากาศเงียบสงบและแวดล้อมด้วยธรรมชาติของภูเขาและป่าไม้
อีกหนึ่งวัฒนธรรมอันโด่งดังของจอนจูคือภูมิปัญญาด้านสุราพื้นบ้าน ชาวจอนจูให้ความสำคัญถึงขั้นมี Jeonju Korean Liquor Museum เลยทีเดียว โดยที่นี่เป็นทั้งแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านสุราพื้นบ้านของเกาหลีและยังมอบประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองทำรวมไปถึงชิมวัฒนธรรมที่ดื่มได้ของชาวเกาหลีด้วย
ที่นี่เราจะได้เห็นเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับทำสุราพื้นบ้าน ได้เรียนรู้เทคนิคอันเต็มเปี่ยมด้วยความรู้และความละเอียดอ่อนกว่าจะได้เครื่องดื่มแห่งภูมิปัญญาที่กำลังเป็นอีกหนึ่งในซอฟท์เพาเวอร์ของเกาหลี
2.ควางจู เมืองคูลๆ
ควางจู (Gwangju) เป็นอีกเมืองที่โดดเด่นเรื่องศิลปะวัฒนธรรม ถึงขนาดปีหน้าเมืองนี้จะได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลศิลปะควางจูเบียนนาเล่ 2023 ซึ่งที่ผ่านมาก็จัดเทศกาลดังกล่าวมาตลอด
ที่นี่มี Asia Culture Center (ACC) ซึ่งสร้างขึ้นภายใต้แผนพัฒนาเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งเอเชีย เป็นองค์กรแลกเปลี่ยนศิลปะและวัฒนธรรมระดับนานาชาติ บริเวณลานกว้างด้านหน้า เป็นที่ตั้งของน้ำพุขนาดใหญ่และหอนาฬิกา บริเวณนี้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพของเกาหลีจากการชุมนุมของขบวนการประชาธิปไตยที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองควางจูเมื่อ 18 พฤษภาคม 2523
อาคารต่างๆ ใน ACC ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง ได้แก่ อาคารหอประชุมเก่าของจังหวัดลชอลลาใต้ ออกแบบโดยคิมซุนฮา สถาปนิกเลื่องชื่อในยุคที่อยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่น สร้างขึ้นด้วยอิฐแดง โดดเด่นด้วยช่วงเว้าโค้งของอาคารและประตูกระจกด้านหน้า ถือเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมยุคใหม่ในสมัยนั้น
และที่ควางจูเป็นที่ตั้งของ Gwangju Traditional Culture Center ศูนย์วัฒนธรรมที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบฮันอก ตั้งอยู่ตรงทางเข้าวัดจึงซิม ตีนเขามูดึง และนี่จะเป็นสถานที่ที่เราได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมเกาหลีดั้งเดิมผ่าน คายากึม (Gayageum)
คายากึม เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของเกาหลีโบราณ รูปร่างคล้าย “เจง” ของจีน และ “โกโตะ” ของญี่ปุ่น ลักษณะเดียวกันกับจะเข้ของไทย มี 12 สาย ทำจากไม้เนื้อแข็ง ปรากฏครั้งแรกในดินแดนเกาหลีในช่วงคริสตศตวรรษที่ 6 โดยเชื่อว่ากษัตริย์กาสิล แห่งเมืองกายา ในแถบภาคใต้ของเกาหลีเป็นผู้พัฒนารูปแบบเครื่องดนตรีชิ้นนี้ นิยมใช้ประกอบการการสันทนาการ
3.ยอซู เมืองที่เกิดใหม่และยังมีชีวิตชีวาอยู่
จากเมืองชายทะเลอันเงียบสงบ แต่น้อยคนจะรู้จัก เมืองยอซู ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยเพื่อเป็นสถานที่จัดนิทรรศการนานาชาติเมื่อปี 2012 นับตั้งแต่นั้นมายอซูก็ไม่เงียบเหงาอีกเลย
ที่นี่มีแลนด์มาร์คสำคัญอย่าง Big-O สถาปัตยกรรมที่ทำจากเหล็กขนาดมหึมา เคยทำหน้าที่เป็นจุดแสดงแสงเสียงและน้ำพุเมื่อครั้งที่จัดนิทรรศการนานาชาติ แต่ถึงจะผ่านเวลามานับ 10 ปี Big-O ยังใช้งานได้ ยังมีการแสดงแสงเสียงเช่นเดิม
จุดที่ Big-O อยู่นี้คือ Yeosu Expo Convention Center ที่เป็นเสมือนอาณาจักรของศูนย์ประชุม นอกจากอาคารที่เป็นศูนย์ประชุมครบวงจร บางส่วนถูกปรับเป็น Arte Museum Yeosu อาคารจัดแสดงนิทรรศการศิลปะสุดล้ำ
ที่ว่าสุดล้ำเพราะที่ Arte Museum Yeosu เป็นที่จัดนิทรรศการศิลปะในรูปแบบมีเดียอาร์ท ใช้มัลติมีเดียประกอบกับศิลปะจนเกิดเป็นผลงานสุดสร้างสรรค์และสุดว้าว การสร้างสรรค์มีเดียอาร์ทผ่าน Arte Museum Yeosu นับเป็นแห่งที่ 2 ของเกาหลีใต้ เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมือง 1 สิงหาคม 2564 โดยที่แห่งแรกคือที่เกาะเจจู
4.ซุนชอน เมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์
เมืองซุนชอน มีชื่อเสียงโด่งดังจากเขตอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำอ่าวซุนชอน รวมถึงเขตอนุรักษ์ระบบนิเวศอื่นๆ และสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม ในปี 2549 อ่าวซุนชอน ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้ชายฝั่งที่ประกอบด้วยพื้นที่น้ำท่วมถึง ทุ่งต้นกก หนองน้ำเค็ม และที่อยู่อาศัยของนกอพยพ ได้กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้ชายฝั่งแห่งแรกของเกาหลีที่ได้ขึ้นบัญชีพื้นที่ชุ่มน้ำอนุรักษ์ของอนุสัญญาแรมซาร์
ต่อมาในปี 2561 เมืองซุนชอนทั้งเมือง ซึ่งรวมถึงอ่าวซุนชอนและอุทยานอ่าวซุนชอน ได้รับการขึ้นบัญชีเขตสงวนชีวมณฑลของยูเนสโก
หนึ่งในสถานที่ที่สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศของซุนชอนเอาไว้อย่างดีคือ ศูนย์อนุรักษ์ระบบนิเวศบริเวณอ่าวซุนชอน (Suncheonman Bay Ecological Park) มีความยาวต่อกันเป็น 10 กิโลเมตร แบ่งเป็นหลายโซน ได้แก่ Sunceon Bay Eco Museum ศูนย์กลางความรู้ด้านพืชและสัตว์ที่อาศัยบริเวณที่ชุ่มน้ำของอ่าวซุนชอน, Observatory อาคารเรือนกระจกเชื่อมกับพิพิธภัณฑ์ เห็นวิวสวยๆ ของอ่าวซุนชอนหลากหลายมุม, Handicraft & Local Specialty ร้านขายของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติ
Nature’s Sound Experience Center พิพิธภัณฑ์เสียงของนกที่อาศัยในอ่าวซุนชอน, Reed Field Promenade ทางเดินไม้ทอดยาวไปบนพื้นที่ชุ่มน้ำความยาว 5.4 กิโลเมตร มีวิวสองข้างทางเป็นต้นกกและพืชพรรณนานาชนิด, Bird Watching Boat เรือไม้ที่จะพานักท่องเที่ยวล่องไปในอ่าวซุนชอนเพื่อชมสิ่งมีชีวิตต่างๆ และระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ และ Yongsan Observatory จุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพจากมุมสูงของพื้นที่ชุ่มน้ำ
5.โซล มหานครแห่งความทันสมัย
กรุงโซล (Seoul) เป็นมหานครที่ถ้าคุณรู้จักประเทศเกาหลีใต้ก็ต้องรู้จักโซล นอกจากการรับรู้ว่านี่คือเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมความทันสมัยแล้ว ในฐานะเมืองท่องเที่ยวยังเหมาะกับกลุ่ม "MICE" ที่สุด เพราะเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้
The National Museum of Korea เป็นที่แรกที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ เพราะนี่คือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของเกาหลีใต้ ที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานนับพันปีซึ่งตกทอดเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน และทำให้เกาหลีมีความเข้มแข็งด้านวัฒนธรรมอย่างมาก
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา ป่าไม้ และสระน้ำขนาดใหญ่ ภายในมีการจัดแสดงผลงานทั้งโบราณวัตถุและสื่อสมัยใหม่ที่จะพาทุกคนไปรู้จักเกาหลีในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น โดยแบ่งเป็นห้องโถง ห้องจัดแสดงนิทรรศการ และมีหอประชุมขนาดใหญ่รองรับคนได้มากถึง 416 คน และห้องประชุมขนาดรองลงมาสำหรับ 214 คน เป็นอีกสถานที่เหมาะกับการศึกษาเรียนรู้และประชุมสัมมนาไปพร้อมกัน
อีกที่หนึ่งคือ Floating Island Convention ศูนย์การประชุมกลางน้ำที่ตั้งตระหง่านอย่างงดงามกลางแม่น้ำฮันอันเป็นเส้นเลือดใหญ่และสัญลักษณ์สำคัญของเกาหลี ที่นี่เองเป็นศูนย์การประชุมเพียงแห่งเดียวของเกาหลีที่ลอยน้ำ
แต่ไม่ใช่แค่ความพิเศษในฐานะที่ลอยอยู่กลางน้ำเท่านั้น ที่นี่มีห้องจัดเลี้ยงทั้งเล็กและใหญ่ รวมถึงสถานที่จัดประชุมสัมมนาที่รองรับงานใหญ่ระดับนานาชาติได้สบายๆ หรือจะเป็นกิจกรรมด้านศิลปะวัฒนธรรมก็เหมาะสมลงตัว
ที่นี่จะมองออกไปเห็นสะพานข้ามแม่น้ำฮันที่ทอดยาวอย่างสง่างาม ช่วงเวลากลางคืนก็จะมีแสงสีและพ่นน้ำพุออกมา เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวสุดตระการตาของโซล
และสถานที่สำคัญระดับชาติอีกแห่งที่ควรค่าแก่การไปเยือนคือ Cheong Wa Dae (Blue House) หรือ ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลี ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 250,000 ตารางเมตร มีเรือนหลังใหญ่ที่เรียกกันว่าบลูเฮาส์ เป็นทำเนียบประธานาธิบดีของประเทศเกาหลีใต้
ด้านในชองวาแดมีกลุ่มอาคารหลายหลัง เช่น หอประชุมใหญ่ ที่พำนักของประธานาธิบดี เรือนรับรอง ห้องแถลงข่าว และอาคารสำนักงานเลขาธิการฯ ที่ล้วนสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์เกาหลี และจัดวางตามหลักฮวงจุ้ย
6.อินชอน ไม่ได้มีแค่สนามบิน
พอได้ยินชื่อ เมืองอินชอน (Incheon) คนไทยจะนึกถึงสนามบิน แต่จริงๆ แล้วที่นี่เป็นอีกเมืองน่าเที่ยว มีอะไรเก๋ๆ ซ่อนอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Café & Co-working Space สุดชิคที่ชื่อว่า COSMO40
ที่นี่เป็นการรีโนเวทโรงงานเก่าของบริษัท Cosmo Chemical Complex ให้กลายมาเป็นคาเฟ่ที่มีกลิ่นอายของความดิบแบบโรงงาน แต่เท่และน่านั่งพักผ่อนหรือแม้แต่จะมาประชุมงาน ซึ่งการนำโรงงานหมายเลข 40 ของบริษัทดังกล่าวมาเปลี่ยนโฉมใหม่ ถือเป็นการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นมิตร และเป็นการสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ให้พื้นที่ด้วย
สำหรับคนที่อยากได้บรรยากาศร้านอาหารและบาร์ที่มีวิวสวยแบบพาโนรามา ต้องไปที่ Panoramic 65 เพราะจะได้เห็นทั้งวิวของท้องทะเลกว้างใหญ่ในตอนกลางวัน และแสงสียามค่ำคืน
นอกจากร้านอาหารและบาร์ ที่นี่มีพื้นที่อเนกประสงค์ที่มีดีไซน์สวยงามและกว้างขวาง เหมาะแก่การจัดเลี้ยงหรือรองรับแขกได้กว่า 60 คน ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงส่วนตัว งานเลี้ยงบริษัท ก็สะดวกสบายทั้งสถานที่และการบริการจากพนักงานมืออาชีพจาก Panoramic 65
ส่วนสถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำ คือ Cimer สปาสุดหรูซึ่งตั้งอยู่ใน Paradise City Incheon ใกล้สนามบินอินชอนแบบแทบจะเดินไปได้ (แต่ไม่แนะนำให้เดิน)
ที่นี่เป็นสปาสุดหรูมีทุกอย่างครบวงจร ทั้งซาวน่าแห้งสไตล์เกาหลี ซาวน่าสไตล์ยุโรป รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ เช่น สระว่ายน้ำ, ศูนย์อาหาร ฯลฯ ที่จะให้ทุกคนได้พักผ่อนร่างกายไปกับช่วงเวลาที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ
และด้วยความที่ที่นี่ตั้งอยู่ภายใน Paradise City Incheon จึงมีทุกอย่างอยู่นั้น ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แหล่งชอปปิง และความบันเทิงมากมาย ไปจนถึงสวนสนุก จึงน่าจะเป็นที่ปิดท้ายทริปใกล้สนามบินให้ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ได้เลย
สำหรับนักท่องเที่ยวหรือกลุ่มธุรกิจไมซ์ที่ต้องการ "เที่ยวเกาหลี" แบบไมซ์ๆ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kto.or.th
(สนับสนุนการเดินทางโดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี)