‘เที่ยวเชียงใหม่’ ชม อุทยานแห่งชาติ ขุนขาน....วันหนึ่ง

‘เที่ยเชียงใหม่’ ครั้งนี้ไปกันที่ ‘อุทยานแห่งชาติ’ มี น้ำตกแม่นาเปอะ สัมผัสถ้ำที่สวยงาม อาทิ ถ้ำหลวงแม่สาบ ขุนขาน....วันหนึ่ง
ชื่อ...ขุนขาน... อาจจะฟังดูไม่คุ้นหูเหมือนเขาใหญ่ ห้วยน้ำดัง หรืออินทนนท์ เพราะ ขุนขาน เป็น อุทยานแห่งชาติที่ในบริเวณที่ทำการ ไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเหมือนกับอุทยานแห่งชาติแห่งอื่นๆ
แต่ขึ้นชื่อว่าอุทยานแห่งชาติ นอกจากจะมีหน้าที่สงวนพื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ดูแลสัตว์ป่าในป่าเหล่านั้นแล้ว ก็ย่อมมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอยู่บ้างแน่ๆ ขุนขานเองก็เช่นเดียวกัน
ในพื้นที่นอกจากจะมีน้ำตกอย่างน้ำตกแม่นาเปอะ และน้ำตกเล็กๆอีก 3-4 แห่ง แล้ว ที่ทำการที่เป็นที่กางเต็นท์พักแรมได้เป็นอย่างดีของนักเดินทางทั้งหลาย ในเส้นทางสะเมิง-กัลยานิวัฒนา
ที่ทำการอยู่ริมถนนสายนี้ จึงเหมาะในการเป็นที่จอดรถบ้านหรือกางเต็นท์พักแรมอย่างมาก แต่ภายในระยะเวลา 3-4 ปีมานี้ ชื่อเสียงของถ้ำหลวงแม่สาบ ใน อุทยานแห่งชาติขุนขาน แห่งนี้ นำพาให้เราได้แวะเวียนไปสัมผัสถ้ำที่สวยงามแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
ถ้ำหลวงแม่สาบ อยู่ห่างจากตัวอำเภอสะเมิงราว 3 กม. ริมถนนสายสะเมิง-กัลยานิวัฒนา บน ภูเขาหินปูน เล็กๆ ก่อนถึง บ้านแม่สาบ และก่อนถึงที่ทำการอทยานฯ เมื่อเสียค่าธรรมเนียมตรงด่านตรวจแล้วเข้าไปตามทางไม่ถึง 100 เมตร ก็จะเจอกับที่ทำการหน่วยพิทักษ์ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางขึ้นถ้ำหลวงแม่สาบพอดี
ที่นี่ มีถ้ำด้วยกัน 4 ถ้ำ คือ ถ้ำหลวงแม่สาบ ถ้ำอุโบสถ ถ้ำมรกต และถ้ำเพชร ซึ่งทั้ง 4 ถ้ำก็ใกล้ ๆ กันนั่นแหละ ถ้ำหลวงและถ้ำอุโบสถจะอยู่ด้านหน้าศาลาบริการนักท่องเที่ยว ที่ต้องเดินขึ้นบันไดไปนิดเดียวส่วนอีกสองถ้ำ คือ ถ้ำมรกต และถ้ำเพชรจะต้องเดินลงเนินศาลาบริการนักท่องเที่ยวลงไป
ที่นี่ นอกจากจะเสียค่าธรรมเนียมเข้าพื้นที่อุทยานฯคนละ20 บาท(ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าฟรีทุกอุทยานฯทั่วประเทศ) แล้วจะต้องเสียค่าไฟฉายดวงละ 20 บาท เขาก็จะให้หมวกนิรภัย และไฟฉายเรามา ถ้ามาเป็นคณะหลายคน ก็จะมีเจ้าหน้าที่นำทาง คอยอธิบาย
ถ้ำแรกที่จะพาไปเที่ยวชมคือ ถ้ำหลวงแม่สาบ ซึ่งเป็นถ้ำใหญ่ที่สุดในบรรดาถ้ำทั้ง 4 แห่งในบริเวณนี้ ในอดีตเคยเป็นที่ที่พระสงฆ์ท่านมาจับจองจะทำเป็นที่ปฏิบัติธรรม
ครั้น อุทยานแห่งชาติ เข้ามาจัดตั้งจึงนิมนต์ให้พระออกจากพื้นที่ ทั้งถ้ำหลวงแม่สาบ ถ้ำอุโบสถ ถ้ำเพชร จึงมีร่องรอยการปรับปรุงพื้นที่ให้เป็นอาสนะสงฆ์ เป็นลานฟังธรรม เป็นอะไรต่อมิอะไรทางศาสนาปรากฏอยู่ แม้กระทั่งพระพุทธรูป
ถ้ำหลวงแม่สาบ นั้น เป็นถ้ำใหญ่สุดในจำนวน 4 ถ้ำนี้ โถง อุโมงค์ค่อนข้างใหญ่ กว้าง แต่ไม่ลึกมาก เข้าไปรวมราวๆ 150 เมตรจากปากถ้ำจนถึงส่วนที่ลีกที่สดในถ้ำ ถ้ำนี้หินงอกหินย้อยมีไม่มาก
แสดงว่ารอยแตกของถ้ำก็มีไม่มาก น้ำจึงไหลหยดลงมาตามรอยแตกและละลายหินปูนให้มาเกิดเป็นหินงอกหินย้อยได้น้อยแห่ง และที่น่าแปลกใจคือหินย้อยที่มีก็มีทั้งสีขาวหม่น ซึ่งเป็นสีปกติของแคลเซียม
และบางอันจะเป็นหินย้อยสีดำ เพราะน้ำที่ซึมหยดลงมาไม่ได้ละลายมาแต่แคลเซียม แต่ไหลซึมผ่านบริเวณที่มีธาตุเหล็ก หรือแมงกานิสมาด้วย จึงละลายเอามาเคลียบหินปูนจนเป็นสีดังกล่าว ซึ่งนับว่าไม่ค่อยเจอมากนัก
แต่ที่นักท่องเที่ยวเขามาเที่ยวกันที่นี่แทบไม่ขาด อยู่ตรงที่สีสันของหินภายในถ้ำ ที่มีสีหลากหลายราว 5 สีสลับกันไปมา ตามในภาพ ซึ่งสีพวกนี้ เกิดขึ้นตอนที่ หินปูน ส่วนนี้เกิดการสะสมทับถมกัน
โดยมีแร่ธาตุต่างๆ ที่สีสันต่างกันมาทับถมกันเป็นชั้น ๆ ตามการเกิดของหินตะกอนหรือหินชั้น เมื่อทับถมกันนานนับล้านๆปี จนกลายเป็นหิน ก็เป็นหินที่มีสีสลับไปมาซ้อน ๆ กัน แล้ววันหนึ่ง แผ่นเปลือกโลกก็เบียดดันกันจนพื้นที่ตรงนั้นโป่งขึ้นมาเป็นภูเขา
ก็เลยกลายเป็นภูเขาที่มีเนื้อหินเป็นสีสลับดังกล่าว เห็นสีเหล่านั้นโป่งโค้งตามแรงดันของแผ่นเปลือกโลกไปด้วย หลังจากนั้นภูเขาก็เกิดกระบวนการเกิดเป็นถ้ำ ภูเขาหินปูนถูกน้ำละลายจนเป็นโพรงถ้ำ
เผยให้เห็นเนื้อหินที่มีสีต่างๆสลับกันไปมา ปรากฏอยู่ในส่วนด้านในของถ้ำแห่งนี้นั่นเอง ความสวยงามของสีสันที่ปรากฏในถ้ำนี่เอง ที่ทำให้ได้ฉายาถ้ำสีรุ้ง ซึ่งถึงแม้สีจะไม่ครบ 7 สี อย่างรุ้งกินน้ำ แต่ก็พออนุมานได้ว่าเป็นสีรุ้ง
ปรากฏการณ์แบบนี้ คล้ายกับที่ผมเคยไปดูจางเย่ที่จีน ที่นั่นขาเรียกหุบเขาสีรุ้ง ก็เกิดจากการทับถมของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีมากน้อย ในแต่ละช่วงเวลาที่มาสะสมกัน ของเขาก็จะเป็นสีๆ เหมือนกัน
แต่ของเขายังเป็นดินแบบดินที่แพะเมืองผีหรือดินเสาดินนาน้อย ยังไม่ทันเป็นหิน ยังเป็นดิน และกว้างมาก พื้นที่เป็นตารางกิโลเมตร หลายๆตารางกิโลเมตร ลักษณะการเป็นชั้นสีก็คล้ายๆกัน
นี่คือไฮไลท์ของถ้ำแห่งนี้ นอกจากนี้ ลายของสีเหล่านี้ยังมาปรากฏใน ถ้ำอุโบสถ คือตอนสมัยที่พระมาอยู่ ท่านใช้ถ้ำนี้แทนพระอุโบสถ ถ้ำนี้จะอยู่เหนือถ้ำเหลวงขึ้นมาไม่มาก ทางขึ้นอยู่ตรงปากทางเข้าถ้ำหลวงนั่นเอง
ถ้ำอุโบสถนี้จะมีปล่องถ้ำขนาดใหญ่ตรงกลาง มีโถงเล็กๆ มีพระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่ แล้วมีอุโมงค์เล็กๆ เข้าไปได้อีกราว 10 เมตร ด้านในจะเป็นโถงขนาดเล็กเทพื้นปูน ใช้แทนพระอุโบสถ ผนังปรากฏลายสีเช่นเดียวกับในถ้ำหลวง แต่สีจะไม่จัดเท่าในถ้ำหลวง
ถ้ำมรกตเป็นถ้ำเล็กๆ เดินลงเนินหน้าศาลาบริการนักท่องเที่ยวราว 30 เมตร แล้วเดินขึ้นเนินหน้าถ้ำไปนิดเดียว จะเป็นโพรงถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยแบบติดผนังบางส่วน มีกองหินถล่มบ้าง
แต่หินที่ถล่มลงมาอยู่ในถ้ำนี้คงจะมีความชื้น พอได้แสงรำไรๆที่เข้ามาทางปากถ้ำ ถึงมีตะไคร่ขึ้นคลุมสีเขียวโดยส่วนใหญ่ ถ้ามาหน้าฝนน่าจะเห็นเขียวสดกว่านี้ นี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำมรกต
ส่วน ถ้ำเพชร นั้น ปากถ้ำอยู่ใกล้กับซุ้มเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติของอุทยานฯขุนขาน ปากถ้ำเป็นโพรงเตี้ยๆ พอมุดเข้าไปจะเป็นโถงกว้างหน่อยแต่ก็ไม่กว้างมาก
เป็นอุโมงค์ถ้ำยาวเข้าไป แคบๆ เพดานสอบแคบเข้าหากัน ไม่ลึก บางช่วงต้องมุดต้องคลานเข้าไป แต่ถ้ำนี้มีหินย้อยติดผนังที่มีเกล็ดซิลิกาที่ระยิบระยับหลายแห่ง จึงเป็นที่มาของชื่อถ้ำเพชรนั่นเอง
ทั้งสี่ถ้ำ ถ้าสวยก็คงเป็นถ้ำหลวงแม่สาบ นอกนั้นก็ทำให้ทำถ้ำหลวงมีอะไรมากขึ้น คนที่ชอบการมุด การปีนถ้ำ มาที่นี่น่าจะชอบใจ ส่วนผมซึ่งเป็นคนชอบสำรวจถ้ำอยู่แล้ว ชอบใจยิ่งกว่าใดๆ เลยใช้เวลาอยู่ซะนาน
ใครไปสะเมิง หรือจะใช้เส้นทางไปกัลยานิวัฒนา แล้วเลยไปปาย ไปปางมะผ้า ก็ลองแวะที่นี่ดู แล้วจะรู้ว่าบ้านเมืองของเรา มีอะไรใหม่ๆ มาให้เที่ยวดูเที่ยวชมกันไม่มีวันหมด
เที่ยวจนหมดแรงเที่ยวก็ไม่หมด เชื่อผมไหมละ.......
.