'ทหารเรือ'หนี้ท่วมหัวเงินเดือนเหลือใช้ไม่ถึง30%นับหมื่นราย

'ทหารเรือ'หนี้ท่วมหัวเงินเดือนเหลือใช้ไม่ถึง30%นับหมื่นราย

”ทหารเรือ”หนี้ท่วมหัว เงินเดือนเหลือใช้ไม่ถึง30%นับหมื่นราย เร่งดูแลปล่อยกู้- ลดดอกเบี้ย -ยืดผ่อนชำระหนี้ “ผู้ช่วย ผบ.ทร “เผย 5วงรับผิดชอบ มั่นใจนำไปสู่ปัจจัยความสำเร็จ

16 ก.ค.2567 ที่กองทัพเรือ พลเรือเอก ชลธิศ  นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการ ทหารเรือ พร้อม นายกิตติรัตน์  ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี/ประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย และคณะ ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินกำลังพลของกองทัพเรือ ที่อาคารส่วนบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน ถนนอิสรภาพ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 

นโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับบุคลากรภาครัฐและประชาชนรายย่อย ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการที่สำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่

1.) ให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์การหักเงินเดือนเหลือสุทธิไม่น้อยกว่าร้อยละ 30

2.) ให้สหกรณ์ออมทรัพย์พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้เหลือไม่เกิน ร้อยละ 4.75 ขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระได้ถึงอายุ 75 ปี และสามารถผ่อนชำระคืนเฉพาะส่วนที่เกินทุนเรือนหุ้น

ซึ่งนโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ รัฐบาลได้กำหนดให้ทุกส่วนราชการนำไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และได้ประสานขอความร่วมมือไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคาร และสถาบันทางการเงินต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีระบบและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ในส่วนของ กองทัพเรือ ได้ทำการศึกษาและตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า

ในปัจจุบันมีกำลังพลของกองทัพเรือที่รับเงินเดือนน้อยกว่าร้อยละ 30 มีจำนวนทั้งสิ้น 10,709 นาย หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ของจำนวนกำลังพลทั้งหมด 46,563 นาย

จึงได้นำนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้สินมาสู่การปฏิบัติ โดยให้ความสำคัญกับ 2 แนวทาง หลัก ประกอบด้วย

แนวทางการป้องกันปัญหาหนี้สินกำลังพล (Preventive Measures) มีการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้

1.) ออกระเบียบกองทัพเรือว่าด้วยการหักเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนพนักงานราชการ เพื่อชำระเงินให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการ สหกรณ์และสถาบันการเงิน รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดลำดับรายการที่หักจากเงินเดือน
2.) จัดทำหมายเหตุในใบรับเงินเดือนเพื่อแจ้งเตือนสถาบันการเงินต่าง ๆ กรณีที่กำลังพลมีรายรับสุทธิต่ำกว่าร้อยละ 30 ขอกู้เงิน เพื่อให้สถาบันการเงินต่าง ๆ พิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการปล่อยกู้เงิน
3.) การพิจารณาก่อนการรับรองให้กู้เงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ให้นำหลักเกณฑ์หลังจากการตัดเงินกู้แล้ว กำลังพลต้องมีรายรับสุทธิต่อเดือนคงเหลืออย่างน้อยร้อยละ 30
4.) การให้ความรู้ทางการเงินแก่กำลังพล เช่น การออม การลงทุนของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) การบริหารจัดการทางการเงินให้เกิดประสิทธิภาพ และโครงการที่ให้การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้สิน เป็นต้น

5.) การดำเนินโครงการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เช่น การจัดรถรับ - ส่งกำลังพล การจัดงานขายสินค้าราคาประหยัด และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น
 
แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินกำลังพล (Corrective Measures) มีการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้

1.) กำหนดให้หน่วยต้นสังกัดของกำลังพลทำหน้าที่เป็นที่เป็นคลีนิคปรึกษาการแก้ไขปัญหาหนี้สินเบื้องต้น และหากเกินขีดความสามารถของหน่วยให้พิจารณาเสนอคลินิกให้คำปรึกษาในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกำลังพล ทร.(สก.ทร.) เพื่อประสานกับสถาบันการเงินภายนอกในการแก้ไขหนี้ รวมทั้งให้คำปรึกษา คำแนะนำด้านกฎหมายและวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยมีที่ตั้ง ณ สก.ทร. รวมทั้งจัดทำเบอร์โทรศัพท์สายด่วนเพื่อให้กำลังพลที่เดือนร้อน สามารถขอคำปรึกษาได้
2.) สนับสนุนให้สหกรณ์ภายในกองทัพเรือมีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิก ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.75 ต่อปี หรือต่ำกว่า รวมทั้งการขยายระยะเวลาชำระหนี้ เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของสมาชิกสหกรณ์
3.) การพิจารณากรณีที่กำลังพลที่มีรายรับสุทธิต่อเดือนคงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 หากมีความจำเป็นต้องการกู้เงิน นั้นให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วย ตรวจสอบรายได้เสริมอื่น ๆ เช่น การขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง การขายสินค้า/อาหาร เป็นต้น ว่าเพียงพอต่อการดำรงชีวิตหรือไม่ ก่อนอนุญาตให้กู้เงินได้ โดยพิจารณาเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นการช่วยเหลือกำลังพลที่มีความจำเป็นจริงและเดือนร้อน เพื่อป้องกันมิให้กำลังพลไปกู้เงินนอกระบบ
 
ในปัจจุบันการป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้สินกำลังพลของกองทัพเรือมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยสรุป ดังนี้

1.) สหกรณ์ภายในกองทัพเรือ จำนวน 7 แห่ง ได้ออกโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิกในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.75 ต่อปี หรือต่ำกว่า รวมทั้งการขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามนโยบายรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
2.) กองทัพเรือได้ออกระเบียบกองทัพเรือว่าด้วยการหักเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนพนักงานราชการ การทำหมายเหตุในสลิปเงินเดือน และการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดลำดับรายการที่หักจากเงินเดือนเรียบร้อยแล้ว
3.) ปัจจุบันมีกำลังพลที่รับเงินเดือนน้อยกว่าร้อยละ 30 เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินกับสหกรณ์ภายในกองทัพเรือ จำนวน 1,241 ราย และเข้าร่วมโครงการกับคลีนิกแก้หนี้ จำนวน 315 ราย รวมเป็นจำนวนกำลังพลที่มีความเดือดร้อนและสมัครใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,556 ราย คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของจำนวนกำลังพลที่รับเงินเดือนน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งสิ้น 10,709 ราย โดยกำลังพลในส่วนที่เหลืออีก 9,153 ราย ที่ยังไม่ร่วมโครงการ นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการสำรวจและรวบรวมข้อมูลจากหน่วยต้นสังกัด ซึ่งในเบื้องต้นทราบว่ากำลังพลในจำนวนนี้บางส่วนไม่มีความเดือดร้อนเนื่องจากมีรายได้ส่วนอื่นของครอบครัวให้การสนับสนุน และมีรายได้เสริมที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ อย่างไรก็ตามกองทัพเรือจะได้เร่งการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้กำลังพลที่มีความเดือดร้อนได้เข้ามาร่วมโครงการอย่างต่อเนื่องต่อไป
4.) สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกำลังพลที่เข้าร่วมโครงการผ่านคลีนิกแก้หนี้ จำนวน 315 นาย ที่เป็นกำลังพลที่ประสบปัญหาหนี้สินซ้ำซ้อน นั้น ปัจจุบันสามารถแก้ไขปัญหาจบแล้ว จำนวน 199 ราย คาดว่าจะประสบผลสำเร็จ ในระยะเวลาอันใกล้อีกจำนวน 90 ราย และอยู่ระหว่างการรวมหนี้ ประนอมหนี้ และการเจรจากับเจ้าหนี้ อีกจำนวน 26 ราย ซึ่งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป

พลเรือเอก ชลธิศ กล่าวว่า  ขอขอบคุณความตั้งใจของรัฐบาล และแนวนโยบายการดำเนินการที่เห็นทิศทางชัดเจน และคำนึงถึงข้าราชการให้มีเงินเหลือในการดำรงชีพได้เพียงพอ ถ้ามองจากข้างในออกไป วงที่หนึ่ง ตัวเขาต้องมีความรับผิดชอบเป็นสำคัญก่อน วงที่สองคือผู้บังคับบัญชาระดับต้นต้องไปกำกับดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด ถ้าเจ้าตัวงอง แง ไม่มีวินัย อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแล้วไม่มีคนให้คำปรึกษาเวลาผ่านไป ปัญหาเล็กก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนั้นก็ความรับผิดชอบของผู้ปล่อยกู้ด้วย

วงที่สาม คือสหกรณ์กองทัพ ซึ่งแตกต่างจากสหกรณ์ทั่วไป เพราะไม่มีการแข่งขันโดยมุ่งเน้นให้ผู้บังคับบัญชาดูแลให้เกิดความเป็นธรรม วงที่สี่คือสถาบันการเงิน ที่จะร่วมมือจากสหกรณ์ ทั้งนี้หลังจากได้ฟังคำแนะนำจึงได้เห็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

วงนอกสุดคือเรื่องของ นโยบายของรัฐบาลที่มองเห็นภาพรวม ทั้งหมดนั้นทำให้เห็นถึงสิ่งแวดล้อมใหม่ หรือการบูรณาการที่เกิดขึ้น ทางทหารเรียกว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จ ซึ่งก็คือการสื่อสาร การปรับทัศนคติ การลงมือทำจริง โดยกำลังพลที่มีปัญหาเรารู้ชื่อหมดแล้ว และรู้ว่ามีปัญหาอย่างไรบ้าง เมื่อเรารู้ข้าศึกและเป้าหมายหมดแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปแก้ปัญหา  เพียงแต่ต้องเร่งดำเนินการและประสานความร่วมมือ โดยนำโอกาสต่างๆมาใช้ให้เหมาะสม

ด้านนายกิตติรัตน์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกฝ่ายที่มาปรึกษาหารือกันวันนี้มีเป้าหมายเดียวกันที่จะแก้ไขปัญหาให้กับกำลังพลกองทัพเรือได้มีเงินเดือนเมื่อหักชำระหนี้แล้วเพียงพอต่อการดำรงชีวิต และให้เจ้าหนี้ทุกรายได้รับชำระหนี้ ตามสิทธิทางกฏหมาย พร้อมขอความกรุณาจากทุกทุกหน่วยให้เห็นปัญหาร่วมกันว่าการที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับให้เหมาะสมกับเรื่องความเสี่ยง รวมถึงงวดหนี้ชำระคืน เป็นการผ่อนปรนให้กำลังพลสามารถผ่อนชำระคืนได้ตามศักยภาพ

“ขอขอบคุณกองทัพเรือที่ให้โอกาสเราเชื่อมั่นว่าคนที่มาในวันนี้มีความชัดเจนในส่วนของตัวเองเช่นสถาบันการเงิน ทั้ง5 แห่ง จะผ่อนปรนอะไรได้บ้างจะไม่มีภาวะที่ว่าใครจะต้องลำบากหรือกลายเป็นผู้เสียสละจนเกินไป ความร่วมมือนั้นเป็นไปด้วยความเหมาะสม มั่นใจว่ากองทัพเรือจะเป็นแรงบันดาลใจให้ส่วนราชการอื่นได้มีแนวทางเดียวกันและจะสามารถประกาศความสำเร็จในการดูแลตรงนี้ ให้กำลังพลเหลือเงินในการดำรงชีพ และเจ้าหนี้ทุกรายสามารถได้รับการชำระหนี้ได้อย่างครบถ้วนโดยไม่มีความจำเป็นต้องฟ้องร้องลูกหนี้และคำผู้ค้ำประกัน