กยท.รับซื้อปลาหมอคางดำ 16 จว. ผลิตน้ำหมักชีวภาพ นำร่องแจกชาวสวนยางฯ
กยท.บูรณการร่วมกรมประมง เปิด 49 จุดรับซื้อปลาหมอคางดำ ใน 16 จังหวัด ล็อตแรก 1 พันตัน ผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพนำร่องใช้ในสวนยางในโครงการแปลงใหญ่ 200,000 ไร่ ลดต้นทุนพร้อมสนับสนุนให้ชาวสวนยางใช้น้ำหมักที่มีคุณภาพ ยืนยันไม่ขัด พ.ร.บ.การยางฯ
25 ก.ค.2567 นายเพิก เลิศวังพง ประธานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยถึงการดำเนินการรับซื้อ"ปลาหมอคางดำ"มาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ในสวนยางพารา ภายใต้การดำเนินการของ กยท.
ในเบื้องต้น คาดว่า กยท. จะเริ่มดำเนินการรับซื้อที่ 1,000 ตันก่อน โดยตั้งราคารับซื้อที่กิโลกรัมละ 15 บาท คิดเป็นปริมาณน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตได้ประมาณ 160,000 ลิตร ซึ่งรองรับการใช้ในสวนยางพาราได้ประมาณ 320,000 ไร่ โดยจะนำน้ำหมักชีวภาพที่ได้แจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่อยู่ในแปลงใหญ่ และส่วนที่เหลือจากการแจกจ่ายจะมอบหมายให้หน่วยธุรกิจของ กยท. (Bussiness Unit) นำไปจำหน่ายแก่เกษตรกรชาวสวนยางและหน่วยงานอื่นๆ เพื่อนำไปใช้ในพืชประเภทอื่น เช่น พืชสวน พืชไร่ ข้าว เป็นต้น ในราคา 99 บาท/ลิตร
“พร้อมกันนี้ ทางบอร์ด กยท. ได้มอบหมายให้ นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ รักษาการแทนผู้ว่าการ กยท. ได้ดำเนินการส่งน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำไปให้กรมวิชาการเกษตรได้ตรวจสอบคุณภาพว่า ผ่านมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร เพื่อผลักดันให้ยกมาตรฐานเป็นปุ๋ยอินทรีย์ต่อไป ซึ่งน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำอุดมไปด้วยธาตุอาหารสูง เหมาะกับการนำไปใช้ในการเกษตร สามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ 25% และในอนาคต กยท. มีแผนที่จะขยายการผลิตด้วยการนำมาปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นอาหารเพื่อให้มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ปลาร้า ปลาส้ม เป็นต้น ” ประธานบอร์ด กยท. กล่าว
ด้านนายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการ ผู้ว่า กยท.กล่าวว่า สืบเนื่องจากที่มีข้อสงสัยว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เกี่ยวข้องกับ กยท. อย่างไร ต้องชี้แจงว่า ในการเข้าไปร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามกฎหมายของ กยท. ในส่วนที่เกี่ยวกับการหารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองด้วย นอกจากรายได้การเก็บเงินค่าธรรมเนียมส่งออก (CESS)
ทั้งนี้ บอร์ด กยท. ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2566 ได้อนุมัติงบประมาณ มาตรา 13 พ.ร.บ. การยางแห่งประเทศไทย ปี 2558 สำหรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 91 ล้านบาท จึงนำเงินส่วนนี้มาดำเนินการภายใต้โครงการจำหน่ายปัจจัยการผลิต งบประมาณ 50 ล้านบาท มาใช้ในการดำเนินการจัดซื้อปลาหมอคางดำ เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำหมักชีวภาพมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดิน
“โดย กยท.ตั้งราคารับซื้อปลาหมอคางดำที่กิโลกรัมละ 15 บาท นำไปมอบให้กับหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน หรือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ที่สมัครเข้าโครงการฯ เพื่อผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพ ตามสูตรของกรมพัฒนาที่ดิน และส่งมอบให้ กยท. นำไปแจกจ่ายแก่เกษตรกรเพื่อนำใปใช้ในพื้นที่สวนยางในโครงการแปลงใหญ่กว่า 200,000 ไร่ เป็นการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตในสวนยางของโครงการ โดยคาดการณ์ว่า การใช้น้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยาง สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้” นายสุขทัศน์ กล่าวและว่า
“ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดิน ได้มีการศึกษาวิจัย จนได้สูตรในการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำที่ได้มาตรฐาน และมีการเผยแพร่ไปสู่เกษตรกร ซึ่งมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น มีไนโตรเจนถึง 0.93เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.16 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 0.34 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ดังนั้น การผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดิน จึงเป็นโอกาสของ กยท.ในการสร้างธุรกิจใหม่ โดยได้ตั้งเป้าหมายที่จะจำหน่ายน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ ในราคาลิตรละ 99 บาท ซึ่งสามารถใช้ได้ในสวนยางพาราได้ถึง 2 ไร่ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรได้ลดการใช้สารปุ๋ยเคมีลงอีกด้วย รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสวนยางพาราอีกด้วย”
รักษาการ ผู้ว่า กยท.กล่าวอีกว่า ในส่วนกระบวนการรวบรวมปลาหมอคางดำ เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ในการเกษตร กยท. บูรณาการความร่วมมือกับกรมประมง ซึ่งได้รวบรวมแพปลาที่ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการด้านการประมง(ทบ.2) กับกรมประมง ในพื้นที่ที่มีการระบาด 16 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ตราด ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี นนทบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรรมราช และสงขลา รวมทั้งสิ้น 49 จุด