องคมนตรี เยี่ยมครอบครัว ‘วาเด็ง ปูเต๊ะ‘ พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี
องคมนตรีเยี่ยมลูกหลาน "วาเด็ง ปูเต๊ะ" พระสหายแห่งสายบุรี ในหลวงรัชกาลที่ 9 แบบอย่างการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลให้เกิดการขยายพื้นที่การเกษตร เกิดเครือข่ายเกษตรกร ชาวบ้านกลับมาทำอาชีพเกษตรมากขึ้น
นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมด้วยนางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และเจ้าหน้าที่ เดินทางไปยังบ้านนายวาเด็ง ปูเต๊ะ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ราษฎรที่เคยเฝ้ารับเสด็จและกราบบังคมทูลรายงาน ถึงสภาพพื้นที่ และความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่พรุแฆแฆ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535
นายพลากร กล่าวว่า วันนี้มาเยี่ยมลูกหลานของลุงวาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า "พระสหาย" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว
ด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อตรงต่อศาสนา และพี่น้องมนุษยชาติ คำกราบบังคมทูลของลุงวาเด็งเป็นคำสามัญที่ออกมาจากใจ และเป็นความจริงทุกอย่าง ทรงรับสั่งถามอะไร ลุงวาเด็งตอบได้หมด และเป็นความจริงตามนั้น จึงทรงยกย่องนับถือน้ำใจของลุงวาเด็ง
“ในวันแรกที่พระองค์เสด็จฯ ในพื้นที่แห่งนี้ ก็ไม่อยู่ในแผนของการรักษาความปลอดภัย เสด็จฯไปจนถึงบ้านลุงวาเด็ง และมีข้อมูลบางอย่างที่ทรงสงสัยอยู่ว่า คลองสายนี้จะไปจบตรงไหน อย่างไร ทรงตรวจดูในแผนที่ และส่องไฟฉาย เพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว และบอกว่าต้องเดินไปทางนี้
เสด็จฯ ฝ่าดงวัชพืชไประยะทางกว่า 100 เมตร ลองนึกดูว่า ถ้าเราเป็นผู้ถวายความปลอดภัย จะกังวลขนาดไหน เพราะพื้นที่แห่งนี้ไม่เคยผ่านการตรวจสอบมาก่อน และไม่ได้วางกำลังไว้
พระองค์ทรงมีไฟฉายอันเล็กๆ เดินส่องไปในป่ารก จนไปถึงบ้านลุงวาเด็ง ตอนนั้นลุงวาเด็งอยู่บ้าน นุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ใส่เสื้อ ออกมารับเสด็จ
พระองค์ทรงซักถามข้อมูลต่างๆ แน่ใจว่าลุงวาเด็งนี่เก่งมาก รู้ทุกเรื่อง รู้ทุกอย่าง ตรงตามที่ทรงศึกษาข้อมูลมา เป็นประโยชน์ต่อโครงการพระราชดำริในการขุดคลองแฆแฆ เพื่อระบายน้ำเปรี้ยวในดินพรุออก และให้น้ำจืดไหลเข้ามาแทนที่
ตลอดการทรงงานที่ได้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหา และเกิดโครงการพระราชดำริต่างๆ ล้วนมาจากน้ำพระราชหฤทัย และพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรของพระองค์ท่าน และได้ถ่ายทอดมายังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่ได้ตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถไปหลายพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ทรงเข้าใจโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับน้ำอย่างลึกซึ้ง และพระราชทานความช่วยเหลือสนับสนุนหลายโครงการมาโดยตลอด
หลายครั้งในขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จติดตามความก้าวหน้าของโครงการ เป็นการส่วนพระองค์” องคมนตรี กล่าวและว่า
นายวาเด็ง ถือเป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
นายวาเด็งเสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อปี 2555 ซึ่งครอบครัวและประชาชนในพื้นที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพ จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงาน กปร. และยังคงสานต่อเจตนารมณ์ของนายวาเด็ง ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
พร้อมน้อมนำแนวพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติใช้ ส่งผลให้เกิดการขยายกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะที่บ้านบาเลาะ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จากเดิม 11 ราย เป็น 60 ครัวเรือน เพิ่มพื้นที่การเกษตรจาก 8 ไร่ เป็น 60 ไร่
เกิดเครือข่ายเกษตรกรพื้นที่ดินทรายจัด ในหมู่บ้านใกล้เคียง และราษฎรนอกภาคเกษตร กลับมาประกอบอาชีพการเกษตรมากขึ้น อีกทั้ง ชุมชนมีความรู้ในการประกอบอาชีพ มีรายได้ครัวเรือน เฉลี่ยปีละ 230,000 - 250,000 บาท/ครัวเรือน/ปี
นายอาลียะห์ อาแว เกษตรกร อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี หนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาพื้นที่พรุแฆแฆอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า อดีตพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าพรุ น้ำเปรี้ยว ดินเป็นดินทราย ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ หลังจากมีโครงการฯ แล้ว มีการปล่อยน้ำจืดเข้าป่าพรุ แล้วระบายออก ทำให้น้ำไม่เปรี้ยว สามารถทำการเพาะปลูกพืชได้อย่างหลากหลาย
“ปัจจุบันสามารถประกอบอาชีพ ทำมาหากินดีกว่าในอดีต สามารถปลูกไม้ให้ผล ยืนต้น เช่น ทุเรียน เงาะ ลองกอง สะตอ มะพร้าวแกง ควบคู่กับการปลูกพืชผักตามรูปแบบเกษตรผสมผสาน มีรายได้ต่อเนื่อง 50,000 - 60,000 ต่อเดือน สามารถส่งลูกทั้ง 4 คนเรียนหนังสืออย่างไม่ขัดสน ขอกราบขอบพระคุณพระองค์ท่าน ที่ทรงช่วยเหลือประชาชนชายแดนใต้ ที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ป่าพรุแฆแฆ ให้สามารถทำกินได้ทั้งปี” นายอาลียะห์ อาแว กล่าว