(สกู๊ป) บทสรุป“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ”2016-17
ปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับลีกที่ได้ชื่อว่าได้รับความนิยมมากที่สุดอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
โดยในซีซั่นนี้มีเหตุการณ์ รวมถึงมีสถิติใหม่ต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย ทั้งตำแหน่งแชมป์ที่เปลี่ยนมือ, ท็อปโฟร์หน้าใหม่ที่ต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย, ทีมที่โชว์ฟอร์มผิดคาด รวมถึงการตกชั้นที่ดูแล้วก็มีความเหมาะสมทุกประการ
ทำให้วันนี้เราจะมาสรุปเกี่ยวกับลีกสูงสุดแดนผู้ดีทั้งหมด ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจขึ้นกันบ้างตลอดซีซั่น 2016-2017 ที่ผ่านมา
แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ของ“เชลซี”
ในฤดูกาลนี้ “สิงโตนำเงินคราม” ได้มีการปรับทัพขนานใหญ่ หลังปีที่แล้วได้เพียงอันดับ 10 ของตาราง เริ่มจากการดึงตัว อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตเทรนเนอร์ของ ยูเวนตุส และทีมชาติอิตาลี มาเป็นกุนซือคนใหม่ ซึ่ง คอนเต้ ก็ได้เสริมทีมทันทีด้วยการดึงตัว 4 ดาวเตะชื่อดัง ประกอบด้วย มิตชี บาตชูอายี, เอ็นโกโล กองเต้, มาร์กอส อลอนโซ และ ดาวิด ลุยซ์ โดยทั้งหมดมีค่าตัวรวมทั้งสิ้น 118 ล้านปอนด์ (5.1 พันล้านบาท) โดยมีเป้าหมายสำคัญของสโมสรคือการกลับไปเล่นในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในซีซั่นหน้าให้ได้
แต่ในช่วงแรกของฤดูกาล เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ คอนเต้ กลับทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจ ด้วยการอยู่ในอันดับ 8 ของตาราง มีเพียง 10 คะแนน จาก 6 นัด โดยหนึ่งในนั้นคือการพ่ายต่อ ลิเวอร์พูล คาถิ่น 1-2
ทำให้ในเดือน ต.ค. คอนเต้ ได้ตัดสินใจเปลี่ยนแท็คติกของทีมมาใช้เป็น 3-4-3 ซึ่งผลปรากฏว่าแผนดังกล่าวได้ผลเป็นอย่างมาก โดยตลอดเดือน ต.ค. และ พ.ย. พวกเขาชนะรวดในลีกทุกเกม จนส่งผลให้หลังจบเดือน พ.ย. เชลซี ผงาดขึ้นมาเป็นจ่าฝูงด้วยการมี 31 แต้มจาก 13 นัด
หลังจากนั้นทีม “สิงห์บลูส์” ภายใต้แผนการเล่น 3-4-3 ก็ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบุกชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี ได้ถึงถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม 3-1 ตามด้วยชนะ วัตฟอร์ด, บอร์นมัธ และสโต๊ค ซิตี ตามลำดับ จนทำสถิติชนะ 13 นัดรวด และรั้งตำแหน่งจ่าฝูงเมื่อจบปี 2016 ซึ่งตามสถิติระบุว่าทีมใดรั้งตำแหน่งจ่าฝูงจนถึงสิ้นปี ทีมนั้นจะมีสิทธิ์คว้าแชมป์ลีกไปครอง
แต่ถึงกระนั้นในวันที่ 4 ม.ค. เชลซี ต้องหยุดสถิติการชนะ 13 นัดรวดลง เมื่อถูก สเปอร์ส คู่แข่งร่วมเมือง เปิดบ้านเอาชนะไป 2-0 อย่างไรก็ตามพวกเขายังนำ ลิเวอร์พูล รองจ่าฝูงอยู่ 5 คะแนน
อย่างไรก็ตามด้วยโปรแกรมการแข่งขันที่น้อยกว่าทีมหัวตารางอื่นๆ เนื่องจากไม่ต้องแข่งขันในฟุตบอลยุโรป รวมถึงนักเตะตัวหลักของทีม อย่าง ดิเอโก คอสตา, เอแดน อาซาร์ และ เอ็นโกโล ก็องเต้ ต่างระเบิดฟอร์ม ส่งผลให้ เชลซี ยังคงนำเป็นจ่าฝูงเรื่อยมาจนกระทั่งสุดท้ายแล้วในวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา “สิงห์บลูส์” บุกไปชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ถึงถิ่น 1-0 จากประตูชัยของ มิตชี บาตชูอายี ในช่วงท้ายเกม ส่งผลให้พวกเขามี มี 87 คะแนน จาก 36 นัด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นสมัยที่ 5 มาครองอย่างสมศักดิ์ศรี และถือเป็นการกลับมาประสบความสำเร็จได้ทันควันจากซีซั่นที่แล้ว นอกจากนั้นยังสร้างสถิติด้วยการชนะถึง 30 นัดในเกมลีกเป็นทีมแรกอีกด้วย
อำลา“ไวท์ ฮาร์ท เลน”
หลังจากพลาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่นที่แล้วไปอย่างน่าเสียดาย ในปีนี้ลูกทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมากที่จะกลับมาลุ้นบัลลังก์แชมป์อีกครั้ง เพื่อหวังล้างแค้นจากฤดูกาลที่แล้ว ด้วยขุมกำลังพลังหนุ่มที่มีประสิทธิภาพ ทั้ง แฮร์รี เคน, เดเล อัลลี, คริสเตียน อิริคเซน และ เอริค ดายเออร์ เป็นต้น ร่วมด้วยนักเตะใหม่อย่าง วินเซนต์ แยนเซน, วิคเตอร์ วานยามา และ มุสซา ซิสโซโก
นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้ทีม “ไก่เดือยทอง” มีแรงบันดาลใจอยากจะคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้มาครองให้ได้อีกอย่าง นั่นก็คือ การที่พวกเขาจะได้เล่นในสนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน เป็นซีซั่นสุดท้าย และถือเป็นการปิดฉาก 118 ปีของสนามดังกล่าว เนื่องจากจะมีการสร้างสนามใหม่ขึ้นในบริเวณนี้ โดยคาดว่าจะจุคนดูได้กว่า 61,000 คน ทำให้ในซีซั่นหน้าพวกเขาต้องใช้สนาม เวมบลีย์ เป็นรังเหย้าชั่วคราว
สเปอร์ส ออกสตาร์ทซีซั่นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะหนักไปทางเสมออยู่บ้างแต่ก็ยังไม่แพ้ใครจนกระทั่ง 13 ของฤดูกาลที่พวกเขาบุกไปพ่ายต่อ เชลซี 1-2 และนัดที่ 15 ของฤดูกาล ที่บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-1 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็โกยคะแนนเป็นกอบเป็นกำ ด้วยสไตล์เกมรุกที่ดุดัน โดยทำสถิติไม่แพ้ใครอีก 9 นัด ก่อนจะมาพ่ายต่อ ลิเวอร์พูล 0-2 ในเดือน ก.พ.
ต่อมา “ไก่เดือยทอง” สร้างสถิติอีกครั้ง ด้วยการชนะในลีกติดต่อกัน 9 เกมรวด และไล่จี้ เชลซี จ่าฝูงในช่วงโค้งสุดท้ายอยู่เพียงไม่กี่คะแนน และเป็นทีมเดียวที่ยังมีลุ้นแชมป์กับทีม “สิงห์บลูส์” แต่แล้วในวันที่ 5 พ.ค กลับบุกไปพ่ายต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0-1 ในนัดที่ 35 ของซีซั่นส่งผลให้ เชลซี ต้องการอีก 3 แต้มเพื่อคว้าแชมป์ลีก และพวกเขาก็ทำสำเร็จ โดยถือว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่น่าเจ็บใจสำหรับ สเปอร์ส และเป็นการปิดฉากไวท์ ฮาร์ท เลน แบบไร้ตำแหน่งแชมป์ใดๆ
ท็อปโฟร์หน้าใหม่
ในปีนี้การแย่งตำแหน่งท็อปโฟร์ เพื่อสิทธิ์ในการไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในซีซั่นหน้าของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถือว่ามีความสูสีเป็นอย่างมาก และต้องมาชี้ชะตากันในเกมสุดท้ายโดยมี 3 ทีมเข้าชิงชัย ประกอบด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี, ลิเวอร์พูล และอาร์เซนอล
โดยผลปรากฏว่าทีมที่คว้าอันดับ 3 ไปครอง คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี ด้วยผลงาน 78 แต้ม จาก 38 นัด หลังเกมสุดท้ายถล่มเอาชนะ วัตฟอร์ด ได้ถึงถิ่น 5-0 ส่วนอันดับที่ 4 คือ ลิเวอร์พูล ที่เปิดบ้านเอาชนะ มิดเดิลสโบรช์ ได้ 3-0 ทำให้มี 76 แต้ม ส่งผลให้พวกเขาได้กลับไปเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ใน รอบ 8 ปี และเป็นครั้งแรกหลังฤดูกาล 2013-2014 อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ หากชนะจะได้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มต่อไป
ขณะที่ อาร์เซนอล ทำได้เพียงเข้าป้ายเป็นอันดับ 5 ด้วยคะแนน 75 แต้ม จากผลดังกล่าวทำให้พวกเขาไม่ติดท็อปโฟร์เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่ บรูซ ริอ็อค ยังคุมทีมเมื่อฤดูกาล 1995-96
ทีมที่โชว์ฟอร์มน่าผิดหวัง
ฤดูกาลนี้ มีทีมที่โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังในศึกพรีเมียร์ลีกอยู่ 2 ทีม เริ่มต้นจาก เลสเตอร์ ซิตี ทีมแชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปีของสโมสร แต่ในซีซั่นนี้จากการที่พวกเขาต้องเสียตัวหลักอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต้ ไป บวกกับแท็คติกที่ถูกจับทางได้ ส่งผลให้ “จิ้งจอกสยาม” ทำผลงานได้ย่ำแย่ และต้องมาหนีตกชั้นแทน ซึ่งจากผลงานดังกล่าวทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจปลด เคลาดิโอ รานิเอรี ออกจากตำแหน่งเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ เคร็ก เชคสเปียร์ เข้ามาคุมทีม ผลงานของพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายรอดตกชั้น และจบซีซั่นด้วยอันดับ 12 ของตาราง
ส่วนอีกทีมคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถึงแม้ว่าซีซั่นนี้จะสามารถคว้าแชมป์มาครองได้แล้ว 1 รายการ นั่นก็คือ อีเอฟแอล คัพ และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลยูโรปา ลีก เป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามจากการที่พวกเขาใช้งบเสริมทีมเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 150 ล้านปอนด์ (6.5 พันล้านบาท) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคว้าตัว ปอล ป็อกบา มาร่วมทัพด้วยค่าตัว 89 ล้านปอนด์ (3.8 พันล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติโลก รวมถึงการเปลี่ยนกุนซือมาเป็น โชเซ มูรินโญ กลับทำผลงานในลีกได้อย่างน่าผิดหวัง ด้วยการจบในอันดับ 6 ของตาราง ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากโปรแกรมการแข่งขันที่ถี่เกินไป รวมถึงแข้งหลักของทีม เช่น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, คริส สมอลลิง และปอล ป็อกบา ผลัดกันมีปัญหาอาการบาดเจ็บตลอดทั้งซีซั่น
ทีมตกชั้น-เลื่อนชั้น
การตกชั้นได้ 3 ทีมที่ต้องลงไปเล่นในศึกเดอะ แชมเปียนชิพ ในซีซั่นหน้า นั่นก็คือ มิดเดิลสโบรช์ และฮัลล์ ซิตี 2 ทีมน้องใหม่ รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ที่ร่วงจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีด้วยอันดับสุดท้ายของตาราง โดยมีคะแนนเพียง 24 แต้มเท่านั้น
ส่วนทีมน้องใหม่ที่จะได้ขึ้นมาสู่สังเวียนพรีเมียร์ลีกในซีซั่นหน้าจาก เดอะ แชมเปียนชิพ ประกอบด้วย นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (แชมป์), ไบรท์ตัน และอีกทีมคือการชิงชัยกันระหว่าง เรดดิง และ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์
ดาวซัลโว-จอมแอสซิสต์
ส่วนสถิติอื่นๆที่น่าสนใจของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษซีซั่นนี้ เริ่มจากตำแหน่งดาวซัลโวตกเป็นของ แฮร์รี เคน หัวหอกทีมชาติอังกฤษของ สเปอร์ส ที่ทำไป 29 ประตู โดยเอาชนะ โรเมลู ลูกากู ดาวเตะ เอฟเวอร์ตัน ไป 4 ลูก ขณะที่ตำแหน่งแอสซิสต์มากที่สุด คือ เควิน เดอ บรอยน์ กองกลาง แมนฯซิตี ด้วยจำนวน 18 ลูก
ส่วนผู้รักษาประตูที่เซฟมากที่สุดในซีซั่น คือ ทอม ฮีตัน นายด่าน เบิร์นลีย์ ที่ป้องกันไปถึง 141 ครั้ง ส่วนทีมที่ทำประตูสูงสุดของซีซั่นคือ สเปอร์ส ด้วยจำนวน 86 ลูก
และทั้งหมดนี้คือบทสรุปของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2016-2017 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยต้องมาดูกันว่าในซีซั่นหน้าแต่ละทีมจะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านใดกันบ้างเพื่อไล่ล่าความสำเร็จในลีกยอดนิยมอันดับ 1 ของโลก ที่จะเริ่มเปิดฉากในวันที่ 12 ส.ค.นี้