"ชัชชาติ" ชี้ยิ่งให้ข้อมูล ปชช.เยอะยิ่งดี บอก "ลุงตู่" ควรดีเบต โชว์วิสัยทัศน์-ความเก่ง
ที่ตลาดสดชุมชนปิ่นเจริญ 1 ย่านสรงประภา ดอนเมือง เมื่อเวลา 16.00 น. นายชัชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีิ จากพรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ช่วยหาเสียง "นายการุณ ใสงาม" หรือเก่ง อดีต ส.ส.กทม.เขต 12 หลายสมัย เป็นผู้ลงสมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย ซึ่งพร้อมเดินรับฟังปัญหาปากท้องจากประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าในชุมชน ซึ่งระหว่างการหาเสียงกับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า "นายชัชชาติ" ก็ได้หยุดอยู่ดูที่ร้านขายขนมโตเกียว โดยได้ทดลองทำขนมโตเกียวกับพ่อค้าด้วย ซึ่งสร้างความประทับใจให้กันคนในตลาด ภายหลังใช้เวลาเดินพูดคุยทักทายกับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าแล้วประมาณ 20-30 นาที
นายชัชชาติ ได้กล่าวถึงนโยบายหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยว่า นโยบายหลักๆ มีประมาณ 14-15 เรื่ิองก็จะทยอยออกมาเพราะต้องอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจน โดยหัวใจ คือต้องลดภาระของประชาชน ซึ่งเท่าที่ได้คุยมาประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีทุน เมื่อเช้าไปหาเสียงที่ จ.พระนครศรีอยุธยา แม่ค้าก็บอกว่าเขาต้องกู้ เสียดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน ขณะที่ในระบบธนาคาร มีเงินอยู่ล้านล้านบาทที่ไม่ได้ปล่อยกู้ เราก็ต้องหาทางช่วยซึ่งจะหาเงินทุนให้อย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องให้ความรู้คู่ไปด้วย ไม่เช่นนั้นจะกลับสู่วงจรเดิม ดังนั้นเราจะวางแนวให้ทุน บวกปัญญา โดยหนี้ที่มีอยู่ก็จะหาทางพักชำระหนี้ให้ดีที่สุด เป็นการชะลอชำระหนี้ซึ่งให้เขาปรับตัวให้ได้ก่อน ไม่ใช่การยกหนี้ให้ ขณะที่เกี่ยวกับนโยบายพืชผลการเกษตร คณะที่ดูแลจะแถลงข่าวช่วงสัปดาห์นี้ โดยเรื่องราคาต้นทุนของเกษตกรเป็นมาตรการระยะสั้นซึ่งทุกพรรคก็มีนโยบายออกมา แต่หัวใจคือการแก้ปัญหาระยะยาวด้วย เมื่อถามถึงเรื่องการดีเบตที่ประชาชนสนใจนั้นทุกพรรคการเมือง ควรมีความเท่าเทียมการในดีเบตอย่างไร "นายชัชชาติ" กล่าวว่า ทุกพรรคควรส่งคนที่เชี่ยวชาญประเด็นที่จัดดีเบตนั้น ไปพูด
เมื่อถามย้ำว่า ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วยนั้น ควรลงดีเบตด้วยหรือไม่ "นายชัชชาติ" กล่าวว่า ก็ควรลงมาดีเบจ ซึ่งหัวใจของการเลืิอกตั้ง คือความไว้ใจในตัวของคนที่จะเป็นผู้นำ โดยความไว้ใจ คืิอความเก่ง และความน่าเชื่อถือ เวลาที่ดีเบตจะทำให้เห็นว่าคนนั้นเข้าใจเรื่องแค่ไหน แล้วจะขึ้นกับประชาชนว่าไว้ใจใครที่จะให้มาบริหารประเทศในอนาคต ซึ่งควรชี้แจงวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ได้ และถ้าจะไม่ดีเบตก็ควรออกมาชี้แจง มาอธิบายว่านโยบายคืออะไร จุดยืนคืออะไร ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนตัดสินใจได้ดีขึ้น ส่วนที่จะบอกว่าไม่ใช่สมาชิกพรรคนั้น การดีเบตไม่ได้ห้าม เป็นแคดิเดตก็พูดได้ อย่างตนเป็นแคนดิเดตตนก็พูดในสิ่งที่เราพูดได้
เมื่อถามว่า หากที่สุดแล้ว "พล.อ.ประยุทธ์" ไม่ยอมดีเบต แล้วใช้เวทีอื่นๆ เช่นการจัดรายการทุกวันศุกร์ ถือเป็นความได้เปรียบ-เสียเปรียบหรือไม่
นายชัชชาติ กล่าวว่า ก็ขึ้นกับประชาชนตัดสินใจ และรายการขึ้นว่าคนดูเยอะแค่ไหน จริงๆแล้วอาจจะไม่อาจจะเป็นประโยชน์กับท่านมากก็ได้ ตนว่ายิ่งมีข้อมูลเยอะประชาชนก็ยิ่งตัดสินใจง่ายขึ้น สุดท้ายถ้าท่านไม่ได้ออกมาก็อาจจะเสียเปรียบด้วยซ้ำ เพราะถ้าท่านเก่งมีความสามารถก็ต้องแสดงออกให้ประชาชนได้เห็น
ทั้งนี้ นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า หัวใจ คือ การให้ข้อมูล ควรให้แบบเท่าเทียมกัน ยิ่งข้อมูลเยอะก็จะยิ่งดีกับประชาชนในการตัดสินใจที่จะทำได้ง่ายขึ้น "จริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว สบายๆ และเราก็ไม่ใช่ศัตรูกัน ทุกอย่างเป็นการแข่งขัน เวลาผมเคยไปเสวนาก็แลกเปลี่ยนความเห็นกัน และสุดท้ายใครจะมาเป็นรัฐบาลก็อาจจะนำนโยบายของคนอื่นมาปรับใช้ด้วยก็ได้เพราะเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งหรอก ผมว่าเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์ด้วยซ้ำ ในเวลาที่ได้เสวนากันอย่าคิดว่าเป็นศัตรู มาเข่นฆ่ากันไม่ใช่ แต่เรามาคุยมาเสวนากันเพื่ออนาคตของชาติ และสุดท้ายก็เดินร่วมกันทุกคนในอนาคต" นายชัชชาติ ระบุ
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐเคยระบุทุกวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงวิสัยทัศน์ตลอดเวลาอยู่แล้ว นายชัชชาติ กล่าวว่า คนละบริบทกัน เพราะปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง อำนาจต่างๆก็จะเป็นคนละเรื่องกับรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย โดยการที่อ้างผลงานจากการปฏิวัตินั้น มาเป็นผลงานของรัฐบาลประชาธิปไตยก็ไม่เหมาะสมเพราะเป็นคนละบริบทกัน เพราะท่านมีทุกอย่าง มี ม.44 ดังนั้นผลงานของรัฐบาลนี้จะนำไปอ้างอิงใดๆ ก็ไม่ได้เพราะเป็นคนละกฎหมาย คนละระเบียบกัน เป็นกฎหมายพิเศษ สภาพิเศษ ผลงานปัจจุบัน จะนำไปอ้างอิงในอนาคตไม่ได้ ซึ่งหากเป็นรัฐบาลที่ได้รับเลือกมา ก็จะต้องมี ส.ส. มีฝ่ายค้าน มีกฎระเบียบ ไม่มี ม.44 ดังนั้นท่านจะทำอย่างไรในอนาคต
เมื่อถามย้ำอีกว่า เห็นควรที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องออกมาดีเบต ใช่หรือไม่ "นายชัชชาติ" กล่าวว่า ก็แล้วแต่ท่านตัดสินใจแล้ว และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง โดยการดีเบตน่าจะเป็นประโยชน์กับท่าน เพราะท่านจะมีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องอนาคต ไม่ใช่เรื่องปัจจุบัน ที่ผลงานเป็นคนละบริบทกันเพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
เมื่อถามถึงเรื่องให้สมาชิกท้องถิ่นช่วยหาเสียงได้นั้น มีผลกระทบหรือไม่ นายชัชชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ถามเรื่องดังกล่าวจากกลุ่มผู้สมัครสส แต่สุดท้ายสิ่งสำคัญคือต้องยุติธรรม เพราะถ้าไม่ยุติธรรมแล้วผลที่เลือกออกมา ไม่โปร่งใส อย่างไรก็ดีคงจะต้องรอดูในพื้นที่ อีกครั้งว่าจะมีอะไรหรือไม่ แต่ตนเห็นว่าหากเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจ อยู่ก็ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง กับการหาเสียง เพราะอาจจะเกิดปัญหาได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะยัง มีคนอีกเยอะที่จะมาช่วยหาเสียงได้
เมื่อถามว่า พื้นที่เขตดอนเมือง ก็มีทหารพักอาศัยอยู่จำนวนมากในค่ายทหารหลายแห่งที่มีในพื้นที่ แล้วจะกังวลต่อการเลือกตั้งนี้หรือไม่ โดย "นายชัชชาติ" ก็ได้หันไปถาม "นายการุณ" ผู้สมัคร ส.ส.ว่า พี่เก่งกังวลหรือไม่ ซึ่ง "นายการุณ" ก็ตอบกลับมาว่า "ไม่กังวลเพราะทหารก็เลือกเรา" ขณะที่ "นายชัชชาติ" ได้กล่าวต่อว่า ถ้าพี่เก่งไม่กังวล ผมก็ไม่กังวล โดยตนเชื่อว่าทหารก็มีอิสระ และมีจิตวิญญาณของประชาธิปไตยเช่นกัน เขาก็มีสิทธิ์เต็มที่ว่าจะเลือกใครที่เขาเห็นว่าเป็นประโยชน์และเป็น การเลือกเพื่อประโยชน์ต่อลูกหลานในอนาคตด้วย ดังนั้นเราก็ไม่ต้องกังวล
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ เสร็จสิ้น การลงพื้นที่หาเสียงบริเวณ ตลาดนัดชุมชนปิ่นเจริญ 1 แล้ว "นายชัชชาติ" และ "นายการุณ" พร้อมกับคณะหาเสียงพรรคเพื่อไทย ก็ได้เดินทางมาหาเสียงต่อบริเวณ "ตลาดนัดบุญอนันต์" ซึ่งอยู่ในย่านสรงประภาเช่นกัน โดยห่างจากตลาดจุดแรก ประมาณ 5 กิโลเมตร โดยระหว่างการหาเสียง มีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า นำอาหารที่ได้ขายอยู่ มามอบให้กับ "นายชัชชาติ" และ "นายการุณ" ด้วยความดีใจที่ได้พบจปะเจอ พร้อมมอบดอกไม้กุหลาบสีแดงเป็นกำลังใจให้ด้วย ซึ่งระหว่างนั้น "นายชัชชาติ" พูดคุยกับประชาชนว่าฝากนายการุณ เบอร์ 1 ด้วย กระทั่งเวลาประมาณ 17.45 น. เมื่อมาถึงปากทางเข้า-ออก ตลาดนัดบุญอนันต์ ก็มีการเปิดกล่องของขวัญขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้นำมามอบให้กับ "นายการุณ" และ "นายชัชชาติ" ด้วย โดยเมื่อเปิดกล่อง ก็มีลูกโป่งหัวใจสีแดงขนาดใหญ่ 1 ใบ พิมพ์ข้อความ "พรรคเพืี่อไทย หัวใจเพื่อเธอ เบอร์ 1" ลอยออกมา ขณะเดียวกันก็มีลูกโป่งสีแดงหัวใจขนาดเล็กหลายสิบใบ ไหลออกมาจากกล่องด้วย