เปิดนโยบายปชป. 10 จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจสร้างชาติ งบฯ 3.9 แสนล้าน
"อภิสิทธิ์" เปิดนโยบาย 10 จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจสร้างชาติ ใช้งบ 3.9 แสนล้าน "กรณ์" ชี้ไม่เป็นภาระ เหตุวางเป้าหั่นงบฉุกเฉินรัฐบาลคสช.ออก 5 หมื่นล้าน - เข้มมาตรการเก็บภาษีคนรวย
วันที่ 9 มีนาคม 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำทีมเศรษฐกิจของพรรค อาทิ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ , นางการดี เลียวไพโรจน์ , นายเกียรติ สิทธีอมร , นายอลงกรณ์ พลบุตร, นายศุภชัย ศรีหล้า , นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี , นายธราดล เปี่ยมพงษ์ศาสน์ , นายกรณ์ จาติกวณิช แถลงถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง ในวันที่ 24 มีนาคม โดยคาดหวังว่านโยบายดังกล่าวจะเป็นจุดเปลี่ยนให้กับเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีสาระสำคัญที่จะสร้าง 10 จุดเปลี่ยนให้กับวิธีการบริหารงานและกระบวนทัศน์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการสร้างการเมืองที่สุจริต
โดยสาระสำคัญของ 10 นโยบายจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เปิดเพียง 9 นโยบาย มีสาระสำคัญคือ
1.ปรับกระบวนทัศน์ด้านเศรษฐกิจ ผ่านการใช้ดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า "ปิติ" ซึ่งวัดความก้าวหน้าผ่านมิติเศรษฐกิจ, มิติด้านสังคมที่สะท้อนจากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมิติด้านสิ่งแวดล้อม แทนการวัดตัวเลขผ่านดัชนีมวลรวมของประเทศ (จีดีพี) เท่านั้น เพื่อใช้ดัชนีชี้วัด "ปิติ" เป็นฐานที่ให้รัฐบาลวางนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศ
2.เร่งรัดโครงการด้านคมนาคม ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายในพื้นที่กทม. รวมระยะทาง 225 กิโลเมตร นอกจากนั้นจะลดราคาค่าโดยสาร เช่น จากสถานีบางใหญ่ถึงสถานีหัวลำโพง จากราคา 70 บาท ให้เหลือ 43 บาท, โครงการรถไฟความเร็วสูง สายนครราชสีมา ถึง หนองคาย เพื่อเชื่อมต่อรถไฟจากประเทศลาว และประเทศจีน รวมถึงเชื่อมต่อไปถึงปาดังเปซาร์ ไปยังประเทศสิงคโปร์, โครงการรถไฟรางคู่ นอกจากนั้นระบบขนส่งจะพัฒนาเพิ่มเติม คือ โมโนเรล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
3.ปฏิรูปงานราชการ และภาครัฐ ผ่านการใช้เทคโนโลยียกระดับงานบริการให้กับประชาชน นอกจากนั้นปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ รวมถึงเชื่อมโยงกลุ่มสตาร์ทอัพเข้ากับงานภาครัฐ
4.นโยบายปฏิวัติเขียว เพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมของไทยให้มีบทบาทในเวทีโลก อาทิ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางหรือส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า, ต่อยอดและพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์อุตสาหกรรมอาหาร, เชื้อเพลิง, ยา, อาหารเสริม, เวชสำอาง รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้การพัฒนาอุตสาหกรรม จะปรับกองทุนที่มีอยู่ เช่น กองทุนเอสเอ็มอี 2 หมื่นล้านบาท ให้สอดคล้องกับนโยบาย รวมถึงทำโครงการให้ภาครัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ด้านเทคโนโลยี เป็นต้น
5.ยกระดับเศรฐกิจสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คำนึงถึงประเพณี ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยวางเป้าเศรษฐกิจของประเทศเติบโตเกิน5 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นจะใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับแต่ละพื้นที่ ผ่านการสร้างศูนย์อบรมและให้ความรู้กับประชาชน, ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และ การชมภาพยนตร์
6.สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ และส่งเสริมเกษตรกรแบบสมาร์ทฟาร์ม เพื่อให้เป็นศูนย์รวม หรือ สหกรณ์ ที่รวมปัจจัยด้านการผลิตยุคใหม่ที่ทันสมัย เช่น รถไถ, โรงบ่ม กระจายอยู่ในพื้นที่เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรให้เป็นจุดเปลี่ยนของเศรฐกิจไทย ขณะเดียวกันศูนย์รวมด้านเกษตรกร จะช่วยส่งเสริมด้านการตลาด และต่อยอดด้านธุรกิจด้านการเกษตร
7. ปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ประกาศให้เป็น ปีแห่งการแก้หนี้ 3 ประเภท คือ 1.หนี้เกษตรกร จะปรับแนวทางของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ไม่ยึดที่ดินทำกินของเกษตรกร ซึ่งเข้าโครงการ, แก้ปัญหาหนี้ระบบ โดยความร่วมมือจาก 4 ธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ธกส. เพื่อนำหนี้นอกระบบกลับเข้าสู่ระบบ เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ร่วมโครงการ 8 แสนราย ,จัดโครงการ หมอหนี้เพื่อให้คำปรึกษากับประชาชนทุกหมู่บ้าน, แก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต ผ่านกฎหมาย ซึ่งพรรคยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บัตรเครดิต เสร็จแล้วและเตรียมนำเสนอสู่สภาฯ ทันที
8.จัดโครงการสร้างเงินออมให้ประชาชน อาทิ ให้บริษัทเอกชนที่มีพนักงานเกิน 5 คนขึ้นไป ให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และมีโครงการเงินออมเพื่อประชาชน ผ่านการจ่ายเงินเดือนละ 100 บาท
และ 9.ปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงเก็บภาษีจากกลุ่มธุรกิจข้ามชาติ ขณะที่แนวทางที่ 10 ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองสุจริตนั้น จะเตรียมเปิดก่อนวันที่ 24 มีนาคม
ทั้งนี้ นายกรณ์ กล่าวขยายความถึงการใช้งบประมาณตามนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า นโยนบายที่พรรคนำเสนอ จะใช้เงินที่เพิ่มจากงบประมาณ จำนวน 3.9 แสนล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2563 พรรคประเมินว่าจะมีวงเงินงบประมาณโดยรวม 2.7 ล้านล้านบาท โดยมีรายจ่าย โดยรวม 2.9 ล้านล้านบาท ดังนั้นตามนโยบายของพรรคเพื่อแก้จน และสร้างคน จะต้องใช้เงินรวม 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถทำได้ โดยไม่ขัดกับกฎหมาย
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับรายได้ที่พรรคจะจัดหา คือ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อลดภาระด้านค่าใช้จ่ายของรัฐบาล , ทบทวนรายจ่ายของรัฐบาล เช่น งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันตั้งงบไว้จำนวน 9 หมื่นล้านบาท จะปรับลด 5 หมื่นล้านบาท รวมถึงทบทวนความซ้ำซ้อนด้านนโยบาย
"สิ่งสำคัญคือการปฏิรูประบบภาษีให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยผู้มีรายได้สูงและมีที่ดิน ต้องเสียภาษีที่ดินหรือทรัพย์สินที่ดินตามการประเมินราคาตลาดที่แท้จริง รวมถึงจะเก็บภาษีจากธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคล จะปรับให้เป็นธรรม คือ ลดลง โดยบุคคลที่มีเงินได้ ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อปี จะเสีย 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันจะส่งเสริมด้านการออม ขณะที่ผู้ประกบอการขนาดเล็กและขนาดกลาง พรรคจะขยายฐานภาษีเพื่อให้ธุรกิจเติบโต ขณะเดียวกันจะลดการเก็บภาษีให้เหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจข้ามชาติที่ได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีในธุรกิจประเภทใหม่ ต้องเสียภาษีการค้า และภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ประชาชนที่มีรายได้น้อยพรรคเตรียมทำนโยบายด้านสวัสดิการขึ้นพื้นฐานถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวสรุปตอนท้าย โดยเชื่อว่านโยบายที่นำเสนอ จะเป็นจุดเปลี่ยนให้ประเทศได้ โดยยืนยันว่านโยบายของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น และพร้อมทำต่อเนื่องจากสิ่งที่เคยทำ โดยสาระสำคัญคือสร้างโอกาสเศรษฐกิจให้ประชาชนทุกภูมิภาค และยกระดับการบริหารงานภาครัฐ ปฏิรูประบบการทำงานผ่านเทคโนโลยี