‘ทักษิณ’ ปลุกแดง โชว์ภาพศาสดา ขยายแนวรุกสยบ ‘พ่อมหาจำเริญ’

จังหวะการลงพื้นที่ของ “สทร.” ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่พรรคเพื่อไทย ที่ จ.พิษณุโลก วันที่ 17 มี.ค.68 กับ “17 ปีที่รอคอย” ผ่านเวทีเรื่องเล่า “ประสบการณ์ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมวลชน” 

นอกจากจะเป็นการพบปะมวลชนเสื้อแดง พื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างแล้ว ทุกย่างก้าวของ สทร.เห็นได้ชัด ถึงการโชว์บทบาทปลุกมนต์ขลังในฐานะ “ศาสดาแดง” ที่เจือจางห่างหายไป 

โดยส่วนหนึ่งอาจมาจาก การจัดตั้ง “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” เมื่อกลางปี 2566 จนทำให้เสื้อแดง แปลงเป็นส้มบ้าง กลายพันธุ์เป็นแดงเฉดต่างๆ ทั้งแดงแท้ แดงจำแลงบ้าง

บนเวทีพบปะคนเสื้อแดง “ทักษิณ” จึงพยายามสื่อว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้เข้มแข็ง ต่างจากในอดีต ที่สามารถรวบรวมเสียงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 

“การเลือกครั้งที่ผ่านมา เราเสียหายไปเยอะ ซึ่งอาจเกิดจากความประมาท หรือเกิดจากกระแสพลิกในตอนท้าย แต่เชื่อว่าในครั้งต่อไป พรรคเพื่อไทยคงจะแข็งแรงมากกว่านี้เยอะ โดยมีทุกคนคอยเป็นกำลังใจ คอยสนับสนุน”

นัยที่ “นายใหญ่” พยายามสื่อสาร ไม่ได้หมายถึงการเช็กเรตติ้งทวงคืนสัญลักษณ์เสื้อแดงเพียงเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึง การใช้ฐานเสียงคนเสื้อแดงเป็น “หัวคะแนน” ในการปูทางการเมืองสนามใหญ่ ในภายภาคหน้าอีกด้วย 

เจาะลึก 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนล่าง ที่อยู่ในลิสต์ ประกอบด้วย พิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ อุทัยธานี และสุโขทัย

ในจำนวนนี้ มี 2 จังหวัดที่เพื่อไทยกวาดยกจังหวัด รวม 7 คน คือ จ.สุโขทัย ฐานที่มั่นของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข มี สส. 4 คน และ จ.อุตรดิตถ์ มี สส.3 คน  

ขณะที่จังหวัดอื่นๆ ไล่ตั้งแต่ จ.พิษณุโลก เพื่อไทย มี สส.3 คน ที่เหลือเป็นของรวมไทยสร้างชาติ 1 คน พรรคประชาชน 1 คน 

จ.พิจิตร ฐานที่มั่นตระกูลเหลืองวิจิตร แห่งพรรคเพื่อไทย “ค่ายสีแดง” ไร้ สส. โดยทั้ง 3 ที่นั่ง ตกเป็นของตระกูล “ขจรประศาสน์” และ “ภัทรประสิทธิ์” จากพรรคภูมิใจไทย 

จ.กำแพงเพชร มี สส.4 คน “พรรคเพื่อไทย” ไร้ สส. ทั้ง 4 เขต แบ่งเป็น พรรคกล้าธรรม 2 คน รวมกับปริญญา ฤกษ์หร่าย ที่เวลานี้ยังอยู่พรรคพลังประชารัฐ ท่ามกลางกระแสเตรียมย้ายเข้าสังกัดพรรคกล้าธรรม 

จึงเท่ากับว่า พรรคกล้าธรรมมี สส.กำแพงเพชร รวม 3 คน

ส่วนอีก 1 คนคือ อนันต์ ผลอำนวย ปัจจุบันยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐ

จ.ตาก มี สส.3 คน “พรรคเพื่อไทย”ไร้ สส. โดย 2 คนเป็นของพรรคประชาชน อีก 1 คนเป็นของพรรคกล้าธรรม 

จ.นครสวรรค์ พรรคเพื่อไทย มี สส.1 คน จากทั้งหมด 6 คน ที่เหลือแบ่งเป็น พรรคประชาชน 1 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คน และพรรคชาติพัฒนา 1 คน 

จ.อุทัยธานี “พรรคเพื่อไทย” ไร้สส. โดยทั้ง 2 เขต เป็นของ “บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์” จากพรรคภูมิใจไทย 

ต้องไม่ลืมว่า “ทักษิณ” เคยย้ำหลายครั้งหลายครา การที่รัฐบาลเพื่อไทยตกอยู่ในสภาพ “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” เกิดจากการที่พรรคมีขนาดเล็กลง ไม่ได้ถือเสียงแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนในอดีต

เห็นชัดจากอาการของ “ทักษิณ” ที่พูดบนเวที ถึง “พ่อมหาจำเริญ ช่วยกันหน่อยเถอะ” สื่อไปถึงพรรครวมรัฐบาลบางพรรค รัฐมนตรีบางกระทรวง ที่เป็นอุปสรรคขวากหนาม จนการทำงานด้วยกันไม่คล่องตัว

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ทักษิณ” ออกอาการฟาดงวงฟาดงาใส่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะบางพรรค ที่จำต้องเล่นบทตบจูบเพื่อเป็นรสชาติการเมือง 

หากย้อนไปก่อนหน้า เมื่อช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา “ทักษิณ”เคยพูดถึงเป้า สส.เพื่อไทยในการเลือกตั้งรอบหน้า “แย่ๆ เลยคงมี 200 ขึ้น... เพื่อไทยอาจไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวอีกต่อไป แต่เยอะมากก็ไม่ดี ปวดหัว”

เมื่อเป้าหมาย “สทร.” หรือ “สุดที่รัก” ตามนิยามใหม่ ในการเลือกตั้งรอบหน้าอยู่ที่ “ตั๋วผู้แทน 200+” เช่นนี้ต้องจับตา

นอกเหนือจากฐานที่มั่นสำคัญในพื้นที่ “ภาคอีสาน” และ “ภาคเหนือตอนบน” อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย  แพร่ น่าน ที่ “ค่ายสีแดง” หรือพรรคพันธมิตร จำต้องรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้มากที่สุดแล้ว เอาเข้าจริงสมการ “ผู้แทน 200+” อาจจำเป็นต้องขยายแนวรุกไปยังฐานที่มั่นอื่นๆ ที่เหลือ 

โดยเฉพาะ “8 จังหวัด” ที่อยู่ในลิสต์การลงพื้นที่ครั้งนี้ อาจเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งตุนแต้มได้เท่าไร ก็จะยิ่งตัดโอกาส “พ่อมหาจำเริญ” เข้าไปในสมการ ไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามกวนใจพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งรอบหน้าได้มากเท่านั้น 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์