ข้อบังคับ‘กคพ.’คุ้มครองพยาน จับตา‘คดีฮั้วสว.’ล้าง‘สีน้ำเงิน’?

น่าสนใจว่า “ข้อบังคับกคพ.” ทั้ง2ฉบับสอดรับกับสัญญาณการสอบคดี “โพยฮั้วสว.” ส่วนบทสรุปจะเป็นเช่นไรต้องจับตาเพราะอีกไม่นานน่าจะได้รู้กัน
KEY
POINTS
- พยานที่ถูกกันไว้ หากมีความเสี่ยงด้านชีวิตและความปลอดภัย จะได้รับการคุ้มครอง
- ใช้มาตรการปกปิดข้อมูลของพยานเพื่อป้องก
วันที่20มี.ค. เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อบังคับสำคัญ 2 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ประกอบด้วย
- ข้อบังคับกคพ.ว่าด้วยแนวทางการสอบสวนบุคคลที่เป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษพ.ศ. ๒๕๖๘ (คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม)
- ข้อบังคับ กคพ.ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ในคดีพิเศษระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๖๘ (คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม)
เนื้อหาโดยสรุปข้อบังคับกคพ. ว่าด้วยแนวทางการสอบสวนบุคคลที่เป็นพยานสำคัญในคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๖๘ ให้มีอำนาจเรียกพยานมาสอบสวนในคดีพิเศษ โดยเน้นเรื่องการกันบุคคลเป็นพยานและกำหนดมาตรการคุ้มครอง โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. หลักเกณฑ์ในการกันพยาน
- ต้องเป็นบุคคลที่มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดีพิเศษ
- การให้ความร่วมมือของพยานต้องมีประโยชน์ต่อคดี
- พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีดุลยพินิจในการพิจารณากันบุคคลเป็นพยาน
2. การคุ้มครองพยาน
- พยานที่ถูกกันไว้ หากมีความเสี่ยงด้านชีวิตและความปลอดภัย จะได้รับการคุ้มครอง
- ใช้มาตรการปกปิดข้อมูลของพยานเพื่อป้องกันการข่มขู่หรืออันตราย
3. สิทธิและหน้าที่ของพยาน
- พยานมีหน้าที่ให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นความจริง
- พยานอาจได้รับการลดหย่อนโทษหรือยกเว้นโทษตามความเหมาะสม
4.กระบวนการสอบสวนและบันทึกคำให้การ
- การสอบสวนต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
- ต้องบันทึกคำให้การของพยานอย่างเป็นทางการไว้ใช้เป็นหลักฐานในคดี
5.ผลกระทบทางกฎหมาย
- หากพยานให้การเท็จจะถูกดำเนินคดีอาญา
- การถูกกันเป็นพยานไม่ได้ทำให้พ้นจากความผิดโดยอัตโนมัติ ต้องพิจารณาเฉพาะราย
โพยฮั้วสว.สัญญาณล้างสีน้ำเงิน?
น่าสนใจว่า “ข้อบังคับกคพ.” ทั้ง2ฉบับสอดรับกับสัญญาณการสอบคดี “โพยฮั้วสว.” ไล่ไทม์ไลน์ตั้งแต่ คณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.กลาโหมเป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 6 มี.ค.11 เสียงรับในส่วนของ “คดีฟอกเงิน” เป็นคดีพิเศษ
โดยตามรายงานการสืบสวนของดีเอสไอ และการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.67 มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว. ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้ สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วยจึงได้มีการวินิจฉัยในวันนี้ของกรรมการให้รับคดีฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ
จากนั้น “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง”รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์วันที่7มี.ค. ระบุว่า หลักฐานขบวนการดังกล่าวมีมูลค่าเงินเกิน 300 ล้านบาท ใช้มูลฐานความเชื่อได้ว่า เช่น การออกหมายจับของศาล เขาให้ใช้หลักฐานพอสมควร กรณีนี้ใช้เกณฑ์ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาในการออกหมายจับของศาลฎีกาที่บางครั้งใช้บันทึกสายลับไม่ได้มีการสอบพยานเลยก็ออกหมายจับได้
ดังนั้นในคดีนี้มีพยานยืนยันว่ามีการใช้เงิน 400-500 ล้านบาท
ขณะเดียวกันมีผู้มาร้องทุกข์และมีการสืบสวน และกกต.เป็นฝ่ายมาขอให้เราทำ เราจึงต้องร่วมมือกับ กกต.และเมื่อพบพยานหลักฐานแล้ว กกต.ก็สามารถนำไปพัฒนาได้ และใช้ในการยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อถอดถอนได้ คิดว่าหลักฐานที่มีการจ่ายเงิน น่าจะถึง 20 คน ถ้ากกต.ร่วมมือกัน
จากนั้นวันที่12มี.ค. “บิ๊กวี”ย้ำเป็นครั้งที่สองถึงไทม์ไลน์หลังจากรับเป็นคดีพิเศษแล้ว จะมีการหารือกับอัยการเพื่อวางกรอบเวลา ซึ่งโดยกฎหมายระบุไว้ว่า ให้สอบสวนโดยเร็ว ซึ่งคดีนี้เรารู้ชื่อพยานเยอะแล้ว และในการชี้แจงจะมีข้อมูลอยู่แล้ว
คาดว่า น่าจะใช้เวลา 3 เดือน หากมีคนผิดจะแจ้งข้อกล่าวหา และจะสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการต่อไป
โดยในวันเดียวกัน “ดีเอสไอ” โดยอำนาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีการเซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจำนวน41คน
3กลุ่ม3กรรมในมือกกต.
ขณะเดียวกันยังไม่ในส่วนของคดีที่อยู่การอำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) วันที่18 มี.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ที่ประชุมกกต. มีมติ ดังนี้
1.แต่งตั้งข้าราชการจากดีเอสไอ เป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 42 พ.ร.ป.กกต. เพื่อเดินหน้าคดีฮั้ว สว. และ การฟอกเงิน
2.แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ตามระเบียบว่าด้วยการสืบสวนไต่สวน 7 คน (รองเลขาฯ กกต. 1 คน ดีเอสไอ 6 คน) มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับ ความปรากฏว่ามีการฮั้ว สว.ระดับประเทศ
3.แต่งตั้งบุคคลทั้ง 7 คน เป็นคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา 37 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามข้อ 2 (ซึ่งจะได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 2,500 บาท กับ 2,000 บาท)
สำหรับการเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 มีพยานเอกสาร (โพยฮั้ว สว.) ให้เลือกหมายเลข ระดับประเทศ ชุด A และ ชุด B รวม 140 คน ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-2 ที่มีรายชื่อตั้งแต่กลุ่มที่ 1 ถึงกลุ่มที่ 20
พบว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งวุฒิสภา จำนวน 138 คน และเป็นสำรอง 2 คน มีมูลเป็นการทุจริตในการเลือก หรือ รู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม
เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการเลือกตั้ง ดำเนินการสืบสวน หรือไต่ส่วน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานโดยพลันทั้งคดีอาญา หรือ การยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (เมื่อศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งรับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่) ตามนัยมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561
โดยคดีอาญาเป็นอำนาจของดีเอสไอทำสำนวน ซึ่งเรื่องนี้มีการกระทำผิดทั้งหมด 3 กลุ่ม และแยกเป็น 3 กรรม ประกอบด้วย
1.กลุ่มแรก ความผิดกรรมแรก เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอั้งยี่ เป็นความผิดทันทีที่เข้าร่วมกลุ่ม โดยหัวหน้าจะมีโทษหนักขึ้น กรณีนี้อยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะดำเนินคดีได้
2.กลุ่มสอง ความผิดกรรมที่สอง เมื่อมีการกระทำผิดตามที่ตกลงกัน ตามข้อ 1.เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง (การฮั้วเลือกตั้ง สว.) ซึ่งอยู่ในอำนาจของ กกต.
3.กลุ่มสาม ความผิดกรรมที่สาม ในเรื่องฟอกเงินอั้งยี่ ซ่องโจร ความมั่นคง ม.116 และ พ.ร.ป.ได้มาซึ่ง สว. เมื่อมีการกระทำผิดและเปลี่ยนแปลงสภาพเงินที่ได้จากการกระทำผิด อันเข้าลักษณะฟอกเงินแล้ว ย่อมเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง อยู่ในอำนาจของดีเอสไอที่จะดำเนินคดีได้
“อิทธิพร บุญประคอง” ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดถึงไทม์ไลน์ คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน1ปี ในการพิจารณาสารพัดคำร้อง โดยในการคำร้องที่เกี่ยวพันกับมาตรา 77 (1) หรือเรื่องฮั้ว ซึ่งมี 220 เรื่อง ทางกกต.ดำเนินการพิจารณาตรวจสอบเอง ทำเสร็จแล้ว 115 เรื่อง โดยการดำเนินการต่อเนื่องจาก 3 เรื่อง ของดีเอสไอ
“จำนวนนี้มีเรื่องที่จะเข้าข่ายการฮั้วมี 27 เรื่อง”
แน่นอนว่า ประเด็นสอบโพยฮั้วสว. ถูกตีความในแง่ของนิติสงครามการเมือง หวังผลไปที่เกม“ล้างกระดานสีน้ำเงิน” ที่เวลานี้กุมอำนาจสภาสูง แถมถือไพ่ต่อรองทางดุลอำนาจ
ส่วนบทสรุปจะเป็นเช่นไรต้องจับตาเพราะอีกไม่นานน่าจะได้รู้กัน